Parts of Speech

Parts of Speech

                    Parts of Speech หมายถึง ส่วนต่างๆ ของ คำพูดแต่ถ้าจะแปลให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็แปลได้ว่า คำชนิดต่างๆซึ่งนำมาร้อยเรียงเป็นวลี เป็นประโยค ที่นำไปใช้สนทนาเป็นเรื่องเป็นราว หรือนำไปแต่งหนังสือเป็นเล่มหนาๆ มาจาก pars of speech ทั้งนั้น ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดที่เข้าใจกันทั่วๆ มี 7 ชนิด ได้แก่

                            1. Noun คำนาม คือ คำที่ใช้แทน คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ความรู้สึก

                            2. Pronoun คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนาม

                            3. Verb คำกริยา คือ คำที่แสดงการกระทำ หรือบอกสภาวะ

                            4. Adverb คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำทีใช้ขยายคำกริยาว่า ทำเมื่อไหร่ อย่างไร

                            5. Adjective คำคุณศัพท์ คือ คำที่ใช้บอกลักษะคำนาม ว่ามีรูปร่างหน้าตา หรือลักษณะอย่างไร

                            6. Conjunction คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน

                            7. Preposition คำบุรพบท คือคำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์กันของคำหรือวลีในประโยค

                            8. Interjection คำอุทาน คือคำที่ใช้แสดงความตื่นเต้น ตกใจ เจ็บปวด ความโกรธ

1.1 Countable/Uncountabale Nouns

Countable/Uncountable Nouns

นามนับได้/ไม่ได้

            Countable Nouns ( นามนับได้ ) เป็นนามที่สามารถแยกนับจำนวนหนึ่ง สอง สาม… ได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีรูปร่างก็ได้  มีรูปร่าง (สามารถสัมผัสได้ ) – เช่น dog, chair , tree, school, country, student, biscuit    ไม่มีรูปร่าง ( ไม่สามารถสัมผัสได้ ) – เช่น day , month, year, weekend, journey    กิจกรรม : job, assignment

                                มีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์

                                        -เอกพจน์: เช่น dog,country,day,year

                                        -พหูพจน์: เช่น dogs,countries,days,years

                                การใช้ นามนับได้เอกพจน์ ต้องนำหน้าด้วย determiners อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น

                                        I want an orange. (ไม่ใช่ I want orange.)

                                        Where is the bottle? ( ไม่ใช่ Where is bottle?)

                                        Do you want this book?

                                การใช้นามนับได้พหูพจน์อาจจะนำหน้าด้วย articles หรือไม่ก็ได้ เช่น

                                        I like to feed the birds. ( เฉพาะเจาะจง ต้องมี articles )

                                        Cats are interesting pets. ( ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ต้องมี article )

                                         I want those books on the table. ( those เป็น determiners )

1.2 Singular/Plural

คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี 4 แบบ คือ

แบบที่ 1 แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท

แบบที่ 2 แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท

แบบที่ 3 แบ่งคำนามเป็น 4 ประเภท

แบบที่ 4 แบ่งคำนามเป็น 7 ประเภท

ซึ่ง ใน 7 ประเภทนี้ 3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns และ mass nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม common nouns ได้ดังนี้

2 ประเภท 3 ประเภท 4 ประเภท 7 ประเภท

Common Nouns
Proper Nouns

Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns

Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Collective Nouns

1. Common Nouns
2. Proper Nouns
3. Abstract Nouns
4. Collective Nouns
5. Material Nouns
6. Concrete Nouns
7. Mass Nouns

1.Common Noun (นามทั่วไป)

เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น

สิ่งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant

สถานที่ city, hill, road, stadium, school,company

เหตุการณ์ revolution, journey, meeting

ความรู้สึก fear, hate, love

เวลา year, minute, millennium

Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )

Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์

มีตัวตน เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase

ไม่มีตัวตน เช่น day, month, year, action, feeling

Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น

มีตัวตน เช่น furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold

ไม่มีตัวตน เช่น music, love, happiness, knowledge, advice , information

Common countable Common uncountable
indefinite(ไม่เจาะจง) definite(เจาะจง) indefinite(ไม่เจาะจง) definite(เจาะจง)
Singular a cow the cow milk the milk
plural cows the cows

Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค ตัวอย่าง

Ther are many children on the beach. Children love to swim.

2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ ) จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค

เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น

ชื่อคน (Person Name) เช่น Somsak , Tom, Daeng

ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota

ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas

Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )

Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )

the United States, the Himalayas

แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),

the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )

เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns

Common Nouns

Proper Nouns

dog

Lassie ( ชื่อของสุนัข )

boy

Jack ( ชื่อของเด็กชาย)

car

Toyota ( ชื่อยี่ห้อรถ )

month

January ( ชื่อของเดือน)

road

Sukhumvit ( ชื่อถนน )

university

Chulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย)

ship

U.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ )

country

Thailand (ชื่อประเทศ )

คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้

3.Abstract Nouns

เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆ

Abstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น

 

Abstract Nouns
ที่มาจากคำกริยา 

Abstract Nouns
ที่มาจากคำคุณศัพท์

Abstract Nouns
ที่มาจากคำนาม

decision – to decide

beauty – beautiful

infancy – infant

thought – to think

poverty – poor

childhood – child

Imagination – to imagine

vacancy – vacant

friendship – friend

speech – to speak

happiness – happy

growth – to grow

wisdom – wise

4.Collective Nouns

             เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่น

เอกพจน์ : The average British family has 3.6 members.

ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน

พหูพจน์: The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง

( ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์ )

เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ

( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)

พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.

คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร

( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )

Collective noun บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น people, police, cattle

นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + common noun ตัวอย่างเช่น

a flock of birds

a group of students

a flock of sheep

a pack of cards

a herd of cattle

a bunch of flowers

a fleet of ships

a kilo of pork

5.Concrete Nouns

เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.

6.Material Nouns

เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น

ธาตุ: iron, gold, air, copper

สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth

ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk

อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad

แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity) เช่น

a bowl of rice
two boxes of cereal
five bottles of beer
a cup of tea
three bars of soap

two glasses of water
a loaf of bread
a slice of pizza
a piece of paper
a quart of milk

แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )

พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. )

พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต: I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea.

พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น :

I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )

7,Mass nouns

เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ

จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์

ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น

Blood is thicker than water. เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable )

Depression often affects women immediately following the birth of their babies

ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns )

He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น

หมายเหตุ

* บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น

หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี 7 ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้ โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns

Nouns ประเภทคำนาม ประเภทย่อย ประเภทย่อย ตัวอย่าง
Proper nouns

John, London

Common nouns Countable nouns
Concrete

chair,book,student

Collective nouns

two flocks of birds ,people

Uncountable Nouns
Concrete nouns

ice cream,oil,water

Mass Nouns

furniture,money,honesty

Material nouns

water,bread,oxygen,gold

Abstract nouns

honesty, friendship,honesty

ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles

Common Nouns Proper Nouns
Countable Nouns Uncountable Nouns Singular Plural
Singular Plural Singular Plural ไม่มี article
(John)
the
(the Jones)
ชี้เฉพาะ
(definite )
the
(the boy )
the
(the boys)
the
(the water )
ไม่เฉพาะ
(indefinite )
a/an
(a tiger)
ไม่มี article
( tiger)
ไม่มี article
(water)

1.3 Nouns ( Subject – Verb Agreement )

Nouns ( Subject – Verb Agreement )

                        ในประโยคภาษาอังกฤษ ประธานของประโยค ( Subject ) และการใช้คำกริยา (Verb ) จะต้องสอดคล้องกัน กล่าวคือ ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นเอกพจน์ ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาต้องเป็นพหูพจน์ ปัญหาสำหรับผู้เรียนคือ ไม่แน่ใจว่าประธานเป็นเอกพจน์หรือพหุพจน์ เช่น

                        government , committee ซึ่งเป็นได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ แล้วแต่การใช้

                        furniture, money ดูน่าจะเป็นพหูพจน์ แต่ในภาษาอังกฤษคำเหล่านี้เป็นนามนับไม่ได้ มีความหมายเป็นเอกพจน์

                        police, people ใช้อย่างพหูพจน์เท่านั้น

2. Pronouns

Pronouns ( คำสรรพนาม )

                Pronoun ( คำสรรพนาม ) คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร คำสรรพนาม (pronouns ) แยกออกเป็น 7 ชนิด คือ

รูปประธาน                         รูปกรรม                              Possessive Form                              Reflexive Pronoun

Adjective                            Pronoun

I                             me                         my                        mine                     myself

we                         us                          our                        ours                      ourselves

you                       you                       your                      yours                    yourself

he                          him                       his                         his                         himself

she                        her                        her                        hers                       herself

it                            it                            its                          its                          itself

they                      them                     their                      theirs                    themselves

1.Personal Pronouns ( บุรุษสรรพนาม ) คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษคือ

                                -บุรุษที่ 1 ได้แก่ตัวผู้พูด I, we

                                -บุรุษที่ 2 ได้แก่ผู้ฟัง you

                                -บุรุษที่ 3 ได้แก่ผู้ ที่พูดถึง สิ่งที่พูดถึง he, she. it , they

รูปที่สัมพันธ์กันของคำสรรพนาม

การใช้ Personal Pronouns ที่ทำหน้าที่เป็นประธานและเป็นกรรมมีหลักดังนี้
1.Personal Pronoun ที่ตามหลังคำกริยาหรือตามหลังบุพบท ( preposition ) ต้องใช้ในรูปกรรม เช่น

                                                      Please tell him what you want. โปรดบอกเขาถึงสิ่งที่คุณต้องการ ( ตามหลังดำกริยา tell )

                                                       Mr. Wilson talked with him about the project. คุณวิลสัน พูดกับเขาเกี่ยวกับโครงการ ( ตามหลังบุพบท with )

***หมายเหตุ ถ้ากริยาเป็น verb to be สรรพนามที่ตามหลังจะใช้เป็นประธานหรือเป็นกรรม ให้พิจารณาดูว่า สรรพนามใน ประโยคนั้นอยู่ในรูปผู้กระทำ หรือ ผู้ถูกกระทำ

            2. Possessive Pronouns ( สรรพนามเจ้าของ ) คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่คำต่อไปนี้        mine,ours, yours, his, hers,its,theirs

                                    The smallest gift is mine. ของขวัญชิ้นที่เล็กที่สุดเป็นของฉัน

                                    This is yours. อันนี้ของคุณ

                                     His is on the kitchen counter. ของเขาอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว

                                     Ours is the green one on the table . ของพวกเราคืออันสีเขียวที่อยู่บนโต๊ะ

***หมายเหตุ possessive pronouns   มีความหมายเหมือน possessive adjectives แต่หลักการใช้ต่างกัน

            3. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) คือสรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการเน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน มักเรียกว่า -self form of pronoun ได้แก่

myself. yourself, yourselves, himself, herself, ourselves. themselves, itself มีหลักการใช้ดังนี้

                    1.ใช้เพื่อเน้นประธานให้เห็นว่าเป็นผู้กระทำการนั้นๆ ให้วางไว้หลังประธานนั้น ถ้าต้องการเน้นกรรม (object ) ให้วางหลังกรรม เช่น

                                    She herself doesn’t think she’ll get the job.
The film itself wasn’t very good but I like the music.
I spoke to Mr.Wilson himself.

                    2.วางหลังคำกริยา เมื่อกริยาของประโยคเป็นกริยาที่ทำต่อตัวประธานเอง

                                    They blamed themselves for the accident.  พวกเขาตำหนิตนเองในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ( ตามหลังกริยา blamed )

                                    You are not yourself today. วันนี้คุณไม่เป็นตัวของคุณเอง ( ตามหลังกริยา are )
I don’t want you to pay for me. I’ll pay for myself. ฉันไม่อยากให้คุณเป็นคนจ่ายเงินให้ ฉันจะจ่ายของฉันเอง
***หมายเหตุ ปกติ จะใช้ wash/shave/dress โดยไม่มี myself By myself หมายถึงคนเดียว มีความหมายเหมือน on my own เช่นเดียวกับคำต่อไปนี้ on ( my/your/his/ her/ its/our/their ) own มีความหมายเหมือนกับ

            4. Definite Pronouns หรือ Demonstrative Pronouns คือสรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจนว่าใช้แทนสิ่งใด  เช่น  this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter

                                     That is incredible! นั่นเหลือเชื่อจริงๆ (อ้างถึงสิ่งที่เห็น)

                                      I will never forget this. ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย (อ้างถึงประสบการณ์เมื่อเร็วๆนี้)

                                      Such is my belief. นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ (อ้างถึงสิ่งที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ )

                5.Indefinite Pronouns ( สรรพนามไม่เจาะจง ) หมายถึงสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป มิได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้น คนนี้ เช่น

everyone

everybody

everything

some

each

someone

somebody

all

any

many

anyone

anybody

anything

either

neither

no one

nobody

nothing

none

one

more

most

enough

few

fewer

little

several

more

much

less

     Everybody loves somebody. คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน

                                             Is there anyone here by the name of Smith? มีใครที่นีชื่อสมิธบ้าง

                                             One should always look both ways before crossing the street. ใครก็ตามควรจะมองทั้งสองด้านก่อนข้ามถนน

            6. Interrogative Pronouns ( สรรพนามคำถาม ) เป็นสรรพนามที่แทนนามสำหรับคำถาม ได้แก่ Who, Whom, What, Which และ Whoever, Whomever,Whatever,Whichever เช่น

                                    Who want to see the dentist first? ใครอยากจะเข้าไปหาหมอฟันเป็นคนแรก? ( who ในที่นี้เป็นประธาน)

                                Whom do you think we should invite? เธอคิดว่าเราควรจะัเชิญใคร? ( whom ในที่นี้เป็นกรรม- object )

                                    To whom do to wish to speak ? เธออยากจะพูดกับใคร? ( whom ในที่นี้เป็นกรรม- object )

***หมายเหตุ which และ what สามารถใช้เป็น interrogative adjective และ who, whom , which สามารถใช้เป็น relative pronoun ได้

            7. Relative Pronouns ( สรรพนามเชื่อมความ ) คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน เช่นคำต่อไปนี้ who, whom, which whose ,what, that , และ indefinite relative pronouns เช่น whoever, whomever,whichever, whatever

                                Children who (that) play with fire are in great danger of harm.

                                    The book that she wrote was the best-seller.

                                    He’s the man whose car was stolen last week.

                                    She will tell you what you need to know.

3. Verb

verb

                verb คือ คำกริยาเป็นการบอกอาการ หรือการกระทำ ( action ) หรือความมีอยู่ เป็นอยู่ ( being ) หรือ สภาวะความเป็นอยู่ ( state of being )หรือ คำที่แสดงออกทางการกระทำหรือสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม หรือที่จำได้ง่ายๆ หมายถึงคำที่บ่งบอกการกระทำ หรือบ่งบอกสภาพนั่นเอง เช่น

                                    – He eats a banana everyday. (เขา กินกล้วย ทุกวัน)

                                    – They are students. (พวกเขา เป็น นักเรียน)

                การจำแนกชนิดของคำกริยา มีการแบ่งไว้หลายวิธีสุดแต่จะคำนึงอะไรเป็นหลัก เช่น

            1. แบ่งตามหน้าที่โดยยึดเป็นกรรม ( Object ) เป็นเกณฑ์มี 2 ชนิด

Transitive Verbs ( สกรรมกริยา ) คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ เช่น

               -He bought a book. เขาซื้อหนังสือ ( a book เป็นกรรม )

               -He eats a banana everyday. เขา กิน กล้วย ทุกวัน (กล้วยถูกกิน

                                    -We love Thailand. พวกเรา รัก ประเทศไทย (ประเทศไทยถูกรัก)

Intransitive Verbs ( อกรรมกริยา ) คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรม เช่น

                         -She usually walks in the garden in the evening.   โดยปกติ หล่อน เดิน ใน สวน ตอนเย็น (เดินเล่นคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร)

                       -A bird is flying in the sky.    นก กำลังบิน ใน ท้องฟ้า (บินตัวเดียวไม่เกี่ยวกับใคร)

            2. แบ่งตามหน้าที่ เป็นคำกริยาหลัก (Main Verbs) และคำกริยาช่วย ( Auxiliary Verbs )

Main Verbs ( คำกริยาหลัก) เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระในประโยค เช่น

                         -He went to Australia last year.

Auxiliary Verbs ( คำกริยาช่วย ) ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาหลัก หรือกริยาที่มีหน้าที่หรือทำหน้าที่ช่วยกริยาแท้เป็นหลัก ดังนั้นถ้ามีกริยาช่วยจะต้องมีกริยาแท้ ปรากฏอยู่ที่ประโยคด้วยเสมอ ยกเว้นประโยคที่เราละกริยาแท้เอาไว้ เช่น

                        -Verb to be = is,am,are,was,wer               -Verb to do = do,does,did                -Verb to have = have,has,had                      -will,would = จะ

                        -shall,should = จะ                                     -can,could = สามารถ,เป็น,ได้          -may,might = อาจจะ                                    -must = จะต้อง

                       -ought to = ควรจะ                                      -used to = เคย                                  -need = ต้องการ                                            -dare = กล้า

                     ตัวอย่างประโยค : He has gone to Australia.

            3. แบ่งตามหน้าที่เป็นคำกริยาแท้ ( Finite Verbs) และกริยาไม่แท้ ( Non-finite Verbs)

                            Finite Verbs ( คำกริยาแท้ ) ทำหน้าที่แสดงกริยาอาการที่แท้จริงของประธานในประโยคมีการเปลี่ยนรูปไปตาม Subject , Tense, Voice และ Mood เช่น

                                                                                              Subject

                                                                                     I go to school every day

                                                                                     He goes to school every day

                                                                                    They go to school every day

                                                                                               Tense

                                                                                    He goes to school every day

                                                                                    He went to school yesterday

                                                                                    He’s going to school tomorrow

                                                                                               Voice

                                                                                    Someone killed the snake. ( Active )

                                                                                    The snake was killed . ( Passive )

                                                                                                Mood

                                                                                     I recommend that he see a doctor.(ไม่ใช่ he sees )

                                                                                     If I were you ,I would not do it.    ( ไม่ใช่ I was )

            Non-finite Verbs ( คำกริยาไม่แท้ )หรือ Verbal เป็นคำที่มีรูปจากคำกริยาแต่ไม่ได้ทำหน้าที่คำกริยาแท้ มี 3 รูปคือ

                    a. Infinitives เป็นคำกริยาที่อยู่ในรูปกริยาช่องที่ 1 นำหน้าด้วย to ทำหน้าที่ noun , adjective และ adverb

                                         He lacked the strength to resist.  ( to resist ทำหน้าที่ adjective)

                                         We must study to learn. ( to learn ทำหน้าที่ adverb)

                   b. Gerunds เป็นคำกริยาเติม ing ทำหน้าที่เป็นคำนาม ( noun ) เช่น

                      They do not appreciate my singing.  พวกเขาไม่ชอบการร้องเพลงของฉัน ( singing เป็นคำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรม )

                      I like swimming.   ฉันชอบว่ายน้ำ. ( swimming เป็นกรรมของ like )

                    c. Participles คำกริยาที่เติม ing หรือ กริยาช่องที่ 3 ที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ ( Adjective ) มี 2 รูปแบบคือ

         * Present Participles เป็นคำกริยาที่เติม ing เช่น

                    The crying baby had a wet diaper.  เด็กที่ร้องอยู่นั้นผ้าอ้อมเปียก ( crying เป็นคำคุณศัพท์ขยาย baby )

          * Past Participles เป็นคำกริยาช่องที่3 เช่น

                    The broken bottle is on the floor.

            4. แบ่งตามโครงสร้างโดยยึดการเปลี่ยนรูปของคำ ( conjugation ) ได้แก่

Regular Verbs ( คำกริยาปกติ ) เป็นคำกริยาที่เติม ed เมื่อเป็น past และ past participle เช่น

walk

walked

walked

stop

stopped

stopped

work

worked

worked

Irregular Verbs ( คำกริยาอปกติ ) เป็นคำกริยาที่มีรูป past และ past participle ต่างไปจากรูปเดิมหรือคงรูปเดิม เช่น

send

sent

sent

go

went

gone

see

saw

seen

4. Adverbs

Adverb

                 Adverb หรือที่เราเรียกเป็นภาษาไทยว่า กริยาวิเศษณ์ นั้นคือคำใช้ขยายหรือเป็นคำที่ประกอบสำหรับคำชนิดต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ได้ความหมายชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

             การจัดชนิดของ adverbs นี้ แต่ละตำราจะแบ่งไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วเนื้อหาจะเหมือนกัน ในที่นี้จัดกลุ่มดังนี้

Adverb ที่ขยาย adjective และ adverb ได้แก่

1.Adverbs of Degree ซึ่งปกติจะนำหน้าคำที่มันขยาย

Adverb ที่ขยาย verb ได้แก่

2. Adverbs of Time

3. Adverbs of Manner

4. Adverbs of Place

5. Conjunctive Adverbs

6. Interrogative Adverbs

7. Relative Adverbs

8. Viewpoint and Commenting Adverbs

9. Adverbs phrases and clauses of purpose

10. Adverbs of Certainty

        มีรายละเอียดดังนี้

            1. Adverbs of Degree เป็นกริยาวิเศษณ์ทส่วนใหญ่ี่ไปขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เพื่อบอกระดับหรือปริมาณความมากน้อย คำที่พบบ่อยๆ ได้แก่

Absolutely          certainly              definitely,            probably              entirely                obviously

Very                     almost                  nearly                   Quite                    just                        too

Enough                hardly                   completely          very                      extremely            exactly

Scarcely               so                          much                    quite                     perhaps                probably

Rather                  fairly                    only                      slightly

            ตำแหน่งของ Adverbs of Degree ส่วนใหญ่วางหน้าคำที่มันขยาย มักจะขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง และวางหน้า main verb หรือระหว่างกริยาช่วย ( auxiliary verb )กับ main verb เช่น

                              The water was extremely cold. น้ำนั้นเย็นเจี๊ยบเลย ( ขยาย adjective – cold)

                               I am too tired to go out tonight. ฉันเหนื่อยเกินไปกว่าที่จะออกไปข้างนอกคืนนี้ ( ขยาย adjective – tired)

                               Please do not speak too fast. โปรดอย่าพูดเร็วเกินไป ( ขยาย adverb – fast )

                               He hardly noticed what she was saying. เขาแทบไม่ได้สังเกตว่าเธอพูดอะไร ( วางหน้า main verb – noticed )

            2. Adverbs of Time เป็น adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดเมื่อใด (when ) เป็นเวลานานแค่ไหน ( for how long ) และบ่อยแค่ไหน ( how often ) เช่น

When : เช่น today, yesterday, later,now, last year, after,soon, before, sometime (ขณะใดขณะหนึ่งในอดีต,อนาคต ), immediately, recently,early

For how long : เช่น all day, not long, for a while, since last year,temporarily,briefly, from……to, till, until (บางตำราแยกเป็น Adverbs of Duration )

How often : เช่น sometimes (บางครั้ง บางคราว ), frequently, never, often, always, monthly ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of Frequency )

             การวางตำแหน่งของ Adverbs of time

Adverb ที่บอกว่าเกิดเมื่อใด ( When ) ส่วนมากจะนิยมวางท้ายประโยค เช่น

                             I ‘m going to tidy my room tomorrow. ฉันจะจัดห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อยพรุ่งนี้

                            You have to get back before dark. คุณต้องกลับมาก่อนจะมืดค่ำ

                        แต่อาจวางหน้าประโยคได้เช่น

                           Today I will go to the library. วันนี้ ฉันจะไปห้องสมุด

                           Now it is time to leave. ได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว

Adverb of time ส่วนมากจะวางไว้ในกลางประโยคไม่ได้ ยกเว้น now, once, และ then เช่น

                            It is now time to leave.

Adverb ที่บอกว่าเป็นเวลานานแค่ไหน ( for how long ) ส่วนมากวางท้ายประโยคเช่นกัน เช่น

              I lived in Australia for a year. ฉันเคยอยู่ที่ออสเตรเลียเป็นเวลา 1 ปี

              My daughter went out with her friends all day. ลูกสาวฉันออกไปกับเพื่อนของเธอทั้งวัน

             John will be here from tomorrow till next week. จอห์นจะอยู่ที่นีตั้งแต่พรุ่งนี้ถึงอาทิตย์หน้า

Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหน ( how often ) เป็นการแสดงความถี่ของการกระทำ ส่วนมากวางหน้ากริยาหลัก ( main verb ) แต่หลังกริยาช่วย ( auxiliary verbs ) เช่น be, have, may, must

           I often eat vegetarian food. ฉันรับประทานอาหารมังสวิรัติอยู่บ่อยๆ

           He never drinks milk. เขาไม่เคยดื่มนม

           You must always fasten your seat belt. คุณจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ (เช่น เวลาขับรถ นั่งเครื่องบิน )

Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหนซึ่งระบุจำนวนเวลาของการกระทำที่แน่นอน ส่วนมากจะวางท้ายประโยค เช่น

This magazine is published monthly. นิตยสารฉบับนี้ออกเป็นรายเดือน

He visits his mother once a week. เขาไปเยี่ยมมารดาของเขาอาทิตย์ละครั้ง (เป็นกิจวัตร)

Adverbsที่สามารถวางท้ายประโยค หรือวางหน้ากริยาหลักเช่น frequently,generally, normally, occasionally,often, regularly, sometimes, usually เช่น

She regularly visits France. เธอไปฝรั่งเศสเป็นประจำอย่างสม่ำ่เสมอ

She visits France regularly.

We occasionally go to the cinema. เราไปดูภาพยนต์ในบางโอกาส

We go to the cinema occasionally.

***หมายเหตุ

              -sometime ( ขณะใดขณะหนึ่งในอดีต,อนาคต) เป็น adverb ที่บอกว่าการกระทำเกิดเมื่อใด ( When )

              -sometimes ( บางครั้งบางคราว ) เป็น adverb ที่บอกความถี่ของการกระทำ ( how often ) ดังนี้

                                   I would like to read that book sometime. ฉันอยากจะอ่านหนังสือเล่มนั้นเมื่อใดเมื่อหนึ่ง

                                   I sometimes see him in the park. ฉันเจอเขาในสวนสาธารณะเป็นครั้งคราว

            3. Adverbs of Manner เป็น adverb ที่บอกว่าการกระทำนั้นได้กระทำในลักษณะอาการอย่างไร ( How ) ส่วนมากจะเป็น adverb ที่ลงท้ายคำด้วย -ly เช่น

 


actively

อย่างกระฉับกระเฉง

any how

อย่างไรก็ดี

aggressively

อย่างก้าวร้าว

loudly

อย่างดัง

carefully

อย่างระมัดระวัง

distinctly

อย่างเห็นได้ชัด

easily

อย่างง่ายดาย

equally

โดยเท่าเทียมกัน

fast

อย่างเร็ว

gladly

อย่างดีใจ

greedily

อย่างตะกละ ละโมบ

intentionally

อย่างตั้งใจ

quickly

อย่างเร็ว

promptly

อย่างไม่ชักช้า

simply

โดยง่าย,ธรรมดา

quietly

อย่างเงียบเชียบ

still

โดยสงบนิ่ง

sincerely

อย่างจริงใจ

together

ร่วมกัน

suddenly

โดยกระทันหัน

wisely

อย่างฉลาด

well

อย่างดี

การวางตำแหน่งของ Adverbs of Manner

  • ถ้าประโยคไม่มีกรรมให้วางหลังกริยา เช่น
                They walk slowly. เขาเดินอย่างช้าๆ ( ประโยคนี้ไม่มีกรรม slowly วางหลังกริยา walk ในประโยคต่อๆไปก็เช่นกัน)
    Her eyes shine brightly. ดวงตาของเธอเป็นประกายสดใส
    We waited patiently for the show to begin. เรารอให้การแสดงเริ่มอย่างอดทน
  • ถ้าประโยคนั้นมีกรรม ให้วางหลังกรรม
                 I can speak Japanese well. ฉันพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างดี ( Japanese เป็นกรรมของ speak )
    She sings the song beautifully. เธอร้องเพลงนั้นได้เพราะ ( song เป็นกรรมของ sing )
  • Adverb of Manner ที่ลงท้ายด้วย -ly หรือเป็นคำที่แสดงความเห็นของผู้พูดเกี่ยวกับการกระทำนั้น ส่วนใหญ่นิยมวางไว้ในประโยค
     I have carefully considered all of the possibilities. ฉันได้พิจารณาความเป็นไปได้ต่างๆอย่างระมัดระวัง
    I hardly had any time to talk to him. ฉันไม่ค่อยมีเวลาคุยกับเขา
  • Adverbs of Manner อาจจะวางไว้หน้าประโยคได้เมื่อต้องการเน้น Adverb นั้น
      Patiently, we waited for the show to begin. เรารอให้การแสดงเริ่มอย่างอดทน
  • ประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย How ให้วาง Adverbs of Manner ไว้หลัง How เช่น
      How quickly the time passes! เวลาช่างผ่านไปเร็วอะไรเช่นนี้
    How hard she works! เขาทำงานหนักอะไรอย่างนี้
  • ในประโยค passive voice ถ้ามี Adverb of Manner มาขยาย ให้วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 เสมอ
     The report was well written. รายงานนั้นได้มีการเขียนเป็นอย่างดี
  • ในการใช้อย่างเป็นทางการ ( formal English ) จะไม่วาง Adverb of Manner ตามหลัง to ใน infinitive
      I wanted to carefully consider the situation. (informal)  ฉันต้องการพิจารณาสถานการณ์นั้นอย่างระมัดระวัง
    I wanted to consider the situation carefully. ( formal )
  • Adverb of Manner ที่เป็น phrases และ clauses ปกติวางท้ายประโยค
    We arrived on foot. เราไปถึงโดยการเดิน ( on foot เป็น phrase )
    We finished the work as quickly as we could.   เราได้ทำงานเสร็จลงอย่างรวดเร็วเท่าที่สามารถจะทำได้  ( as quickly as we could เป็น clause )
  • แต่ในกรณีที่ต้องการเน้น สามารถนำมาไว้หน้าประโยคได้
             As quickly as we could, we finished the work.

              4. Adverb of Place เป็น adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน ( Where ) คำที่ใช้บ่อย เช่น

upstairs

downstairs

Outside

inside

outdoors

indoors

here

there

somewhere

nowhere

everywhere

anywhere

elsewhere

home

southwards

backwards

  • ตำแหน่งของ Adverb of Place ปกติจะวางท้ายประโยคหลังกริยาหลัก ( main verb ) หรือหลังกรรม ( object )และไม่มีคำอื่นต่อท้าย เช่น
    The students are walking home.
    พวกนักเรียนกำลังเดินกลับบ้าน ( วางท้ายประโยคและหลังกริยา)
    You ‘ll find these flowers everywhere.
    คุณจะพบว่ามีดอกไม้เหล่านี้อยู่ทุกหนแห่ง ( วางท้ายประโยคหลังกรรม- flowers )
    The books are here.
    หนังสืออยู่ที่นี ( วางท้ายประโยคหลังกริยาช่วย- are )
    Cat don’t usually walk backwards.
    .แมวไม่่เดินถอยหลัง (วางท้ายประโยคหลังกริยาหลัก- walk )

    หมายเหตุ towards เป็น preposition ซึ่งจะต้องตามด้วย nouns หรือ pronouns เท่านั้น มิใช่ Adverb of Place เช่นประโยคต่อไปนี้
    He walked towards the car. เขาเดินตรงไปที่รถ ( car เป็น noun )

  • นอกจากนั้นมีคำต่อไปนี้ ซึ่งถ้าใช้ตามหลังคำกริยาโดยไม่มีคำอื่นต่อท้ายอีกจึงจะทำหน้าที่เป็น Adverb of Place หากมีคำต่อท้ายจะทำหน้าที่เป็นบุพบท (preposition)

above

along

at,

across

after

about

around

away

ิิัby

below

Before

back

behind

on

up

down

near

next

In

through

off

over

aside

under

           เช่น   He told me to stand up.   เขาบอกให้ฉันยืนขึ้น ( upในที่นี้เป็น adverb of place ขยาย stand )
Jack climbed up the ladder. แจ๊คปีนขึ้นบันได ( up ในที่นี้ทำหน้าที่ี้เป็น preposition แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Jack กับบันได)

            5. Conjunctive Adverbs เป็นกริยาวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมอนุประโยค (independent clause )ในประโยค โดยมีข้อความของอนุประโยคหน้าและอนุประโยคหลังเชื่อมโยงกัน เช่นคำต่อไปนี้

 


accordingly

also

anyway

besides

certainly

consequently

further

furthermore

hence

however

incidentally

indeed

meanwhile

moreover

namely

nevertheless

next

nonetheless

similarly

still

then

thereafter

therefore

thus

finally

likewise

otherwise

finally

instead

now

undoubtedly

so

again

in fact

for example

on the contrary

  • การใช้ Conjunctive Adverbs ในการเชื่อมอนุประโยคจะต้องใช้ semi colon ในการเชื่อมประโยคและคำ Conjunctive Adverbs ต้องมี comma ตาม ยกเว้น so และotherwise ไม่ต้องมี comma เช่น

                            Bill went to school; however, he didn’t attend classes.  บิลไปโรงเรียนแต่ไม่ได้เข้าเรียน
The check was for more than the balance; consequently, it bounced.   จำนวนเงินในเช็คนั้นมากกว่าเงินในบัญชี เช็คจึงเด้

  • Conjunctive Adverbs วางได้หลายตำแหน่งโดยความหมายไม่เปลี่ยนไป เช่น

              We wanted to go on a picnic; however, the weather turned bad and we weren’t able to go.
เราต้องการไปปิคนิค อย่างไรก็ดีเกิดอากาศไม่ดีขึ้นมาเราจึงไปไม่ได้
We wanted to go on a picnic; the weather turned bad, however,and we weren’t able to go.
We wanted to go on a picnic. The weather turned bad and we weren’t able to go, however.
ประโยคนี้ไม่ต้องมี semi colon เนื่องจากเป็น 2 ประโยคไม่ใช่ 2 อนุประโยค
โปรดสังเกตว่า semicolon เป็นเครื่องหมายเชื่อมอนุประโยค ไม่ใช่เครื่องหมายนำหน้า Conjunctive Adverbs

            6. Interrogative Adverbs เป็นกริยาวิเศษณ์นำในประโยคคำถาม ได้แก่คำดังต่อไปนี้ why, where, how, when เช่น

                          Why are you so late? ทำไมคุณสายจัง
Where is my passport? หนังสือเดินทางฉันอยู่ไหน
How much is that coat? เสื้อโค้ตตัวนั้นราคาเท่าไร

***หมายเหตุ      how  สามารถใช้ได้ 4 วิธี

                        1. ในความหมาย ‘ทำอย่างไร ( in what way)?’:
How did you make this sauce? คุณทำซอสนี้อย่างไร
How do you start the car? คุณติดเครื่องรถยนต์อย่างไร

                        2. ใช้กับ adjectives:
How tall are you? คุณสูงเท่าไร
How old is your house? บ้านคุณเก่าแค่ไหน

                     3. ใช้กับ much และ many:
How much are these tomatoes? มันฝรั่งนี้ราคาเท่าไร
How many people are coming to the party? จะมีคนมางานปาร์ตี้กี่คน

                        4. ใช้กับ adverbsตัวอื่นๆ :
 How quickly can you read this? คุณอ่านนี่ได้เร็วแค่ไหน
How often do you go to London? คุณไปลอนดอนบ่อยแค่ไหน

                7. Relative Adverbs เป็นคำกริยาวิเศษณ์นำหน้า relative clause ได้แก่คำ when, where, why แทนคำ preposition + which

                                  I remember the day when we first met . ฉันจำวันที่เราพบกันครั้งแรกได้     ( when = preposition on + which )
That’s the restaurant where we had dinner last night. นั่นคือภัตราคารที่เรามาทานอาหารเ้ย็นกันเมื่อวานนี้ ( where= preposition at/in + which)

                8. Viewpoint and Commenting Adverbs เป็นคำกริยาวิเศษณ์แสดงความเห็นของผู้พูด ส่วนมากได้แก่คำต่อไปนี้

honestly

seriously

confidentially

personally

surprisingly

ideally

economically

officially

obviously

clearly

                                    Honestly, I think he is a liar. จริงๆนะ ฉันว่าเขาเป็นคนโกหก
Personally, I’d rather go by train. โดยส่วนตัวแล้วฉันอยากจะเดินทางโดยรถไฟ
You obviously enjoined your meal.

                9. Adverbs phrases and clauses of purpose เป็นคำกริยาวิเศษณ์ที่ตอบคำถาม “Why” ในรูปของวลีหรืออนุประโยค เช่น

                                  I went to the store yesterday to buy some sugar.
I will go to the library tomorrow to return the book

                        สามารถจะนำวลีหรืออนุประโยคนั้นวางหน้าประโยคได้โดยตามด้วย comma
 Because it was such a beautiful day, I decided to go for a walk.

               10. Adverbs of Certainty เป็นคำกริยาวิเศษณ์ แสดงความรู้สึกแน่ใจของผู้พูด คำที่ใช้มาก  เช่น certainly,definitely, probably, undoubtedly, surely

                                    He definitely left the house this morning
He has certainly forgotten the meeting
He will probably remember tomorrow
Undoubtedly, Winston Churchill was a great politician
.

5. Adjective

Adjective

              Adjactive (คำคุณศัพท์) คือ คำซึ่งใช้อธิบายหรือขยายคำนามหรือสรรพนามให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ เป็นการบอกให้รู้ลักษณะคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่าเป็นอย่างไร เช่น good, bad,new,hot,my,this โดยทั่วไปการวางตำแหน่งคุณศัพท์ในประโยคจะวางได้ 2 แบบ

ใช้วางประกอบข้างหน้านาม ( attributive use ) ที่มันขยาย

        She is a beautiful girl. เธอเป็นคนสวย ( beautiful ขยายนาม girl)

        These are small envelopes. พวกนี้เป็นซองเล็กๆ ( small ขยายนาม envelopes)

ใช้วางเป็นส่วนของกริยา ( predicative use ) โดยอยู่ตามหลัง verb to be เมื่อ adjective นั้นขยาย noun หรือ pronoun ที่อยู่หน้า verb to be

        The girl is beautiful. เด็กผู้หญิงคนนั้นสวย

         ( beautiful เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย girl และ the เป็นคุณศัพท์ขยาย girl เช่นกัน

       These envelopes are small. ซองพวกนี้มีขนาดเล็ก

        ( small เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย envelopes ,these เป็น คุณศัพท์ขยาย envelopes เช่นกัน )

       She has been sick all week. เธอป่วยมาตลอดอาทิตย์

หลักเกณฑ์อื่นๆ

1. คุณศัพท์ที่ประกอบหน้านามไม่ได้ ต้องวางหลัง verb to be หรือ linking verb* เท่านั้นเรียกว่าเป็น predicate adjective ได้แก่

like

เหมือน

afraid

กลัว

asleep

หลับ

alone

โดยลำพัง

awake

ตื่นอยู่

alive

มีชีวิตอยู่

aware

ระวัง

ashamed

ละอาย

afloat

ลอย

unable

ไม่สามารถ

content

พอใจ

worth

มีค่า

ill

ป่วย

well

สบายดี

เช่น           These two women look alike. ผู้หญิง 2 คนนี้ดูเหมือนกัน ( look เป็น linking verb, alike เป็น predicative adj.)
                 The boy is asleep. เด็กชายกำลังนอนหลับ ( ทำเป็น attributive adj. ได้คือ The sleeping boy. )
                 The sky is aglow. ท้องฟ้าสว่างไสว ทำเป็น attributive adj. ได้คือ The glowing sky.

* linking verb หมายถึง กริยาที่ใช่เชื่อมประธาน ( Subject) กับคำอื่นให้สัมพันธ์ กันเพื่อช่วยขยายประธานของประโยค ให้ได้ใจความสมบูรณ์ที่นอกเหนือไปจาก verb to beเช่น appear, become, feel, get, grow,keep, look, go, remain, seem, smell, sound, taste, turn.

2. คุณศัพท์ที่ใช้เป็นส่วนของกริยา ( verb to be ) ไม่ได้ เช่น

former

ก่อน

latter

หลัง

inner

ภายใน

outer

นอก

actual

ในทางปฏิบัติ

neighboring

ใกล้เคียง

elder

อายุมากกว่า

drunken

เมา

entire

ทั้งสิ้น

shrunken

หด

especial

โดยเฉพาะ

wooden

ทำด้วยไม้

middle

กลาง

เช่น        wooden heart. (ไม่ใช่ A heart is wooden )

3. ถ้าคุณศัพท์นั้นทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนามที่เป็นกรรมของประโยค ต้องวางคุณศัพท์ไว้หลังกรรมนั้นเพื่อให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

                    We considered his report unsatisfactory. เราพิจารณาเห็นว่ารายงานของเขาไม่เป็นที่น่าพอใจ
                                       (unsatisfactory 
เป็นคุณศัพท์ขยาย his report ซึ่งเป็นกรรมของประโยค )

4. เมื่อใช้กับข้อความแสดงการวัด ( measurement) วางคุณศัพท์ไว้หลังนาม หรือสรรพนาม เช่น

                    My uncle is sixty years old. ลุงของฉันอายุ 60 ปี (ไม่ใช่ My uncle is old sixty years.)
This road is fifty feet wide. ถนนนี้กว้าง 50 ฟุต (ไม่ใช่ This road is wide fifty feet.)

5. เมื่อคุณศัพท์หลายคำประกอบนามหรือสรรพนามเดียว จะวางข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้ โดยจะต้องมี and มาคั่นหน้าคุณศัพท์ตัวสุดท้าย เช่น

                    The building, old and unpainted, was finally demolished. ตึกซึ่งเก่าและสีทรุดโทรมในที่สุดก็ถูกทุบทิ้ง ( วางข้างหลัง ) หรือ
                    The old and unpainted building was finally demolished. ( วางข้างหน้า )
                    He bought a new, powerful and expensive car . เขาซื้อรถใหม่ที่กำลังแรงสูงและราคาแพง หรือ 
He bought a carnew, powerful and expensive.

6. คุณศัพท์วางตามหลังคำสรรพนาม ( pronoun ) ที่มันขยาย ต่อไปนี้

someone

anyone

no one

everyone

somebody

anybody

nobody

everything

something

anything

nothing

everybody

เช่น           She wanted to marry someone rich and smart. เธอต้องการแต่งงานกับใครสักคนซึ่งหล่อและรวย
I’ll tell you something important. ฉันจะเล่าบางอย่างที่สำคัญให้คุณฟัง

7. วาง คุณศัพท์ไว้หลังนามหรือสรรพนามถ้าคุณศัพท์นั้นมีข้อความ ( prepositional phrase ) ประกอบอยู่ เช่น

                Thailand is a country famous for its food and fruits. ไทยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องอาหารและผลไม้
(famous เป็นคุณศัพท์ famous for food and fruits เป็นข้อความขยายคำนาม country)
She is the woman suitable for the position. เธอเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับตำแหน่ง 

                            (suitable เป็นคุณศัพท์ suitable for the position. เป็นข้อความขยาย woman )

8. คุณศัพท์บางคำมีความหมายต่างกัน ถ้าวางในตำแหน่งที่ต่างกัน เช่น

                He is and old friend. เขาเป็นเพื่อนเก่า
My friend is old. เพื่อนของฉันสูงอายุ

             The teacher was present. ครูมาอยู่ที่นั้นด้วย
The present teacher. ครูคนปัจจุบัน

9. กลุ่มของคำที่เป็นวลี ( phrase) หรืออนุประโยค ( clause ) เมื่อขยายคำนาม ต้องวางหลังนามหรือสรรพนามที่มันประกอบ เช่น

                   The woman sitting in the chair is my mother . ผู้หญิงที่นั่งที่เก้าอี้เป็นแม่ของฉัน 
                                ( sitting in the chair เป็นวลี ขยายคำนาม the woman)
                   The man who came to see me this morning is my uncle. ผู้ชายที่มาหาฉันเมื่อเช้านี้คือลุงของฉัน 

                                ( who came to see me this morning เป็นอนุประโยคขยายคำนาม the man )

***หมายเหตุ  ถ้านามใดมีทั้งวลี และ อนุประโยค มาขยายพร้อมกัน ให้เรียงวลีไว้หน้าอนุประโยคเสมอ เช่น

I like the picture on the wall which was painted by my friend. ฉันชอบรูปภาพที่แขวนบนข้างซึ่งวาดโดยเพื่อนของฉัน
  ( on the wall เป็นวลีขยาย the picture) ( which was painted by my friend เป็นอนุประโยคขยาย the picture ) 
                There is only one solution possible. (possible วางหลังคำนาม solution ) 
                
There are some tickets available. ( available วางหลังคำนาม tickets)

10. คุณศัพท์ที่เป็นสมญานามไปขยายคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ ให้วางหลังคำนามนั้นเสมอ เช่น

                Alexander the Great
                
William the Conqueror

11.โดยปกติคุณศัพท์จะต้องวางหลัง article ที่เป็น a หรือ an เช่น a good man ยกเว้นคุณศัพท์ต่อไปนี้ เมื่อนำไปขยายคำนามที่เป็นเอกพจน์และนับได้ ให้วางคุณศัพท์นั้นไว้หน้า a หรือ an ได้แก่ half, such, quite, rather และ many เช่น

                John is such a good man. ( a good man เป็นนามเอกพจน์ )
                This is rather a valuable picture ( a valuable picture เป็นนามเอกพจน์ )

6. Preposition

Preposition

               Preposition ( คำบุพบท) คือ คำที่ใช้แสดงสถานที่ ตำแหน่ง การเคลื่อนไหว ทิศทาง เวลา ลักษณะ และความสัมพันธ์ คำบุพบทในภาษาอังกฤษอาจเป็นคำคำเดียว เช่น at, between, from สองคำ เช่น next to, out of, across from หรือสามคำ เช่น in front of, in back of, on top of เป็นต้น คำบุพบทตามด้วยคำนาม คำสรรพนาม หรือกลุ่มคำนาม/นามวลี (noun phrase) นอกจากนี้ ในการตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ ตำแหน่ง การเคลื่อนไหว ทิศทาง เวลา ลักษณะ และความสัมพันธ์ หากเป็นการตอบแบบสั้น ต้องใช้คำบุพบทนำหน้าประโยคคำตอบด้วย เช่น   “When’s the meeting?”      “ On Monday.” ( ไม่ใช่ตอบเพียงแค่ Monday.)

          1.preposition of place  (คำบุพบทแสดงสถานที่) ได้แก่ at, on, in

                          at ใช้เมื่อกล่าวถึงจุดหรือตำแหน่งของพื้นที่หรือเนื้อที่ที่มีลักษณะเป็นมิติเดียว ซึ่งบ่อยครั้ง มักเป็นจุดในการเดินทางหรือสถานที่พบปะ เช่น

                                    The coach stops at Phitsanulok and Chiang Mai.

                                    Turn left at the traffic lights.

                                    See you at the bus stop.

                          at ยังอาจใช้เมื่อกล่าวถึงอาคารหรือสถานที่เมื่อเรากำลังนึกถึงสิ่งที่คนทำภายในอาคารหรือสถานที่เหล่านั้น เช่น

                                    Busaba is a student at Sukhothai Thammathirat Open University.

                                     Let’s meet at the restaurant.

                          on ใช้เมื่อกล่าวถึงพื้นผิวที่มีลักษณะสองมิติ เช่น beach, ceiling, computer or TV screen, grass, the page of a book, wall, roof, road, table, shelf เป็นต้น

                                    I love lying on the beach.

                                    Can you help me get rid of those dirty spots on the ceiling?

                                    The rabbit’s sitting on the grass.

                            on ยังสามารถใช้เมื่อกล่าวถึงสถานที่ที่ตั้งอยู่บนเส้นหรือแนว ( places on a line) เช่น on the Nile, on the equator เป็นต้น

                                    The ancient town of Luxor is on the Nile.

                                    Kenya is on the equator, isn’t it?

                                    My house is located on Vibhavadi-Rangsit Road.

                            นอกจากนี้ on ยังใช้เมื่อกล่าวถึงยานพาหนะ เช่น bus, train, plane และ ship ยกเว้น car

                                     I was on the bus when you called me this morning.

                                     Guess who(m) I met on the train?

                            in ใช้เมื่อกล่าวถึงที่ ที่ว่าง หรือเนื้อที่ที่มีลักษณะสามมิติ เช่น box, city, country, cupboard, drawer, house, library, room, car, pocket,  เป็นต้น

                                         What’s in the box?

                                          I live in Bangkok, but my daughter lives in London.

                                          How long have you been in Thailand?

            2. preposition of position/location (คำบุพบทแสดงตำแหน่ง)     เช่น above ( ข้างบน เหนือ) , across from ( อีกฝั่งหนึ่งของ) , at the top of ( ด้านบนสุดของ) , at the bottom of ( ด้านล่างสุดของ) , at the back of ( ด้านหลัง) , behind/in back of ( ข้างหลัง) , beside ( ข้าง ๆ) between ( ระหว่าง) , by ( ข้าง ๆ ใกล้ ถัดจาก ติดกับ) , in front of ( ข้างหน้า) , in the middle of ( ตรงกลาง) , near ( ใกล้) , next to ( ถัดจาก ติดกับ) , on top of ( บน ด้านบนของ) , opposite ( ตรงข้าม) , underneath ( ข้างใต้ ข้างล่าง) เป็นต้น

                                        The light is above the desk.

                                         She lives in the room across from mine.

                                         I put your name at the top of the list.

                                         Can I borrow the book which is at the bottom of the pile?

            3.  Preposition of motion  (คำบุพบทแสดงการเคลื่อนไหว)     เช่น away, from…to, into, through, toward(s), out of เป็นต้น

                                         We drove away after saying goodbye to everyone at the party.

                                        The salesperson traveled from city to city.

                                        The rescuers dived into the water to save the little girl’s life.

            4. preposition of direction  (คำบุพบทแสดงทิศทาง) เช่น across, along, up, away from, down, to, from เป็นต้น

                                       Many people live along both sides of the river.

                                       My daughter ran quickly into the house and went up the stairs.

                                       I got very angry with one of my employees, so I just walked away from her to calm down.

            5.preposition of time (คำบุพบทแสดงเวลา)

                    1) at ใช้กับเวลาตามนาฬิกาและในสำนวน เช่น at dawn, at noon, at midday, at night, at midnight,  at bedtime, at lunchtime, at dinnertime, at sunrise, at sunset, at present, at the moment, at the same time เป็นต้น

                                        The appointment is at 10:30.

                                        Jane works best at night.

                                        I’ll see you at lunchtime.

                  นอกจากนี้ at ยังใช้กับวันหยุดสุดสัปดาห์ ( weekend) และเทศกาล ( festival) ต่างๆ เมื่อต้องการกล่าวถึงช่วงเวลานั้นตลอดทั้งช่วง

                                        Did you have fun at the weekend? ( ตลอดช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์)

                                        What are you doing at Christmas? ( ตลอดช่วงเทศกาลคริสต์มาส)

                     2) in ใช้กับเดือน ปี ทศวรรษ ศตวรรษ ฤดูกาล และสำนวน the first/second/third, etc./last week In Thailand, the weather’s great in December.

                                       I started work at STOU in 1985.

                                       There was an economic crash in the 1990s.

                                       Columbus went to America in the fifteenth century.

            ขอให้สังเกตว่า เมื่อกล่าวถึงฤดูกาลเป็นการเฉพาะ ( อาจหมายถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในฤดูนั้น) ไม่ใช่กล่าวทั่ว ๆ ไป จะใช้ the นำหน้าด้วย

นอกจากนี้ in ยังใช้ในสำนวนดังเช่น in the morning/afternoon/evening ในสำนวน in the night เมื่อเป็นการกล่าวถึงคืนใดคืนหนึ่งเป็นการเฉพาะ (มักใช้ในกรณีของคืนวันที่ผ่านมา) และในสำนวน in the past, in the future

                                     We went to the Temple of the Emerald Buddha in the afternoon.

                                      I had a horrible dream in the night.

                                     What would you like to do in the future?

                    3) on ใช้กับวันต่างๆ ของสัปดาห์ วันที่และในสำนวน เช่น on Monday morning, on Friday evening, on Saturday night, on the weekend, เป็นต้น                              Annie’s baby was born on Monday.

                                   His birthday is on March 5.

                                  Are you doing anything on Saturday night?

                                  What do you usually do on the weekend?

                  On ยังใช้เมื่อกล่าวถึงวันใดวันหนึ่งเป็นการเฉพาะในระหว่างเทศกาลหนึ่ง ๆ

                                There’s a party at Ann’s house on Christmas Day.

                                 Do you have any celebration on Easter Sunday?

                ข้อควรจำ ไม่ใช้คำบุพบทบอกเวลา in, on, at กับคำว่า today, tomorrow, yesterday และสำนวนบอกเวลาที่ขึ้นต้นด้วยคำบางคำ เช่น last, next, every, this เป็นต้น

                                Do you have any meetings today?

                                What did you do last night?

                               สำนวนที่ใช้กันโดยทั่วไปอีกสองสำนวนคือ in time และ on time จะมีความหมายแตกต่างกันคือ in time หมายถึง ทันเวลา (ก่อนเวลา ก่อนกำหนด) ส่วน on time จะหมายถึง ตรงเวลาพอดี

                    4) before ( ก่อน)

                              We got there before anyone else.

                               Have you met David before ?

                               I had a job interview at an import-export company the day before yesterday .

                     5) after ( ภายหลัง หลังจาก)

                              I’ll be home after dinner.

                              It is a quarter after ten o’clock.

                              Can you come and see me again the day after tomorrow?

                    6) during ( ระหว่าง ในระหว่าง)

                             I’ll be really busy during the week.

                             I always wake up during the night .

                             The lights went out during the big storm.

                    7) by ( ภายใน ไม่ภายหลังจาก/ไม่ช้ากว่า = no later than)

                             You must be in the office by 8:30 a.m.

                              The building will be completed by May.

                              Mr. Johnson should receive a reply to his letter by Tuesday. .

              6. preposition of manner (คำบุพบทแสดงลักษณะ)    เช่น in, with, without เป็นต้น

                            He spoke in a low voice.

                            John is the man with gray hair and eyeglasses standing over there.

                            Our friends drove by without even waving.

            7. Preposition of relationship (คำบุพบทแสดงความสัมพันธ์) เช่น for, from, of, about, with, in เป็นต้น

                          She was sorry for him when he heard the truth.

                          Judging from Laura’s appearance, I would say that she is not happy.

                          Sarah could not think of the answer.

7. Conjunction

Conjunction ( คำสันธาน) คือ คำที่ใช้เชื่อมกลุ่มคำหรือประโยคเพื่อให้ประโยคมีความหมายที่สมบูรณ์ โดยคำที่ใช้เชื่อมนั้นจะเป็นคำชนิดเดียวกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

 

and

but

or

that

for

also

still

else

because

after

if

though

before

till

unless

as

when

where

while

than

since

only

ชนิดคำสันธาน (Types of Conjunctions) มี 3 ชนิด คือ
1. Coordinating Conjunctions คำสันธานเชื่อมคำในประโยคเนื้อความสำคัญเท่ากัน ทำให้ข้อความนั้นเกิดเป็นCompound Sentence คือ อเนกัตถประโยคทันที
2. Subordinating Conjunctions คำสันธานเชื่อมอนุประโยคกับประโยคมีเนื้อความสำคัญไม่เท่ากัน เพื่อแสดงเหตุผล วัตถุประสงค์ เงื่อนไข ฯลฯ ทำให้ข้อความนั้นเป็น Complex Sentence ทันที
2.1 Coordinating Conjunctions คำสันธานเชื่อมคำในประโยคมีความสำคัญเท่าๆ กันได้แก่and…but ( และ…แต่ว่า) however ( อย่างไรก็ตาม) therefore (เพราะฉะนั้น) while ( ในขณะนั้น)both…and ( ทั้งสองและ) also…too ( เช่นเดียวกัน) as well as ( เท่ากัน) not only but…also ( ไม่เพียงแต่ว่า) either…or ( อย่างใดอย่างหนึ่งในสอง…) neither…nor ( ไม่…ทั้งสอง)

เช่น        Still, yet: ( กระทั่ง, จนกระทั่ง, ยัง)
Santi is very rich. He is very unhappy.

                       = Santi is very rich, yet , still , very unhappy.
( สันติร่ำรวย แต่ยังไม่มีความสุข)

                          Whereas, While ( ด้วยเหตุในขณะ)
Benja is clever while , ( whereas ) her brother is quite active.
( เบ็ญช์เป็นคนฉลาด ขณะเดียวกันพี่ชายของเธอค่อนข้างคล่องตัว)

                         Either…or: ด้วย…หรือ, ทั้ง….ด้วย
You must tell him truth. I must tell him truth.
= Either you or I must tell him truth.

Neither…nor ทั้ง…ไม่
The businessman will neither spend his money nor invest it.

( ชายนักธุรกิจคนนั้นทั้งจะไม่ใช้เงินหรือลงทุน)

However : He tried hard. He was unsuccessful.
= He tried hard; however he was unsuccessful.
( เขาพยายามหนักถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ)

So: She has worked hard, so she will pass the exam.
( เธอขยัน ดังนั้นเธอจะต้องผ่านการสอบ)

3. Corrective Conjunctions คำสันธานที่ใช้เชื่อมเป็นคู่ๆเพื่อเพิ่มความหรือเพื่อเลือกความหมายของประโยคให้สมบูรณ์

 

either…or

neither…nor

both…and

not only…but also

not…but

though…yet

whether…or

such…as

as…so

so…as

so…that

such…that

as… as

hardly…when

no sooner…than

scarcely…when

8. Interjection

                         Interjection (คำอุทาน) คือ คำหรือประโยคที่แสดงออกมาทางอารมณ์อย่างฉับพลัน เพื่อแสดงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น ดีใจ ตื่นเต้น หรือแม้แต่ ประหลาดใจ เป็นต้น และเมื่อจบคำอุทานแล้วต้องใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์หรือเครื่องหมายตกใจ (Exclamation mark) คือ ‘! ’ ทุกครั้งบางครั้งคำอุทานเป็นเพียงเสียง หรืออาการต่าง ๆ เช่น อ้าปากค้าง ตะโกนออกมาแบบไม่ได้ศัพท์ หรือเป็นสียงและอาการต่าง ๆ ซึ่งบุคคลนั้น ๆ จะแสดง ออกมา ตัวอย่างคำอุทานโดยทั่ว ๆ ไป เช่น

 
Aha! Ahem! All rigght Gadzooks!
Gee Whiz! Good! Gosh! Yippee!
Hey! Ho oray! Indeed! My Goodness!
Nuts! Oh no! Oops! Ouch!
Whoopee! Wow! Yikes! Yoo! Hoo!
Yuck! Tut! Tut! Pooh! Ugh!

ชนิดของคำอุทาน   นั้นแบ่งได้หลายชนิดแล้วแต่ลักษณะของอารมณ์ที่อุทานในขณะนั้น ได้แก่

                    1. อารมณ์ยินดี (Joy) ได้แก่ Hurrah! (ฮูร่า) ไชโย, Ah! (อ้า), Ha (ฮ้า)

                          เช่น             Hurrah! We have won.    ไชโยพวกเราชนะแล้ว

                    2. อารมณ์เศร้า (Sorrow) ได้แก่ Alas! (อนิจจา)

                      เช่น          Alas! He is ruined.  อนิจจาเขาแย่แล้ว

                    3. อารมณ์ประหลาดใจ (Surprise) ได้แก่ Ha! (ฮ้า), What! (อะไรกันนี่), Oh! (โอ้

                        เช่น             Oh! What a fright.   โอ้อะไรจะน่าตื่นเต้นขนาดนั้น

                    4. อารมณ์ตื่นเต้นและยินดี (Excitement, Approval) ได้แก่

                          เช่น             Bravo! (ไชโย)           Bravo! Well done. ไชโย ทำได้ดีมาก
5. อารมณ์แห่งความสุข (Happiness) ได้แก่ Ah! (อ้า), Ha! (ฮ้า)

                          เช่น             Ha! I’m happy. ฮ้า ช่างสบายอะไรอย่างนี้
6. อารมณ์เงียบ ๆ (Silence) เช่น Hush! (จุ๊ ๆ)

                          เช่น              Hush! The baby is asleep.   จุ๊ ๆ เด็กนอนหลับอยู่

               นอกจากนี้ยังมีคำอุทานที่เป็นประโยค (Exclamation Sentence)

                          เช่น             What beautiful flowers!    ดอกไม้ช่างสวยงามจัง

                                              What a pity!    น่าสงสารจัง

        ข้อสังเกต คำอุทาน แต่ละคำไม่มีความเกี่ยวข้องกับหลักทางไวยากรณ์ใด ๆ  Parts of Speech : คำอุทาน (Interjection) คือ คำที่เปล่งออกมาลอย ๆ เพื่อแสดงความรู้สึกของอารมณ์ของผู้พูด

                        เช่น               Oh!     แสดงความเสียใจหรือตื่นเต้น

                                             Ha! Ha!   แสดงความขบขัน

                                             Hurrah!   แสดงความยินดี

                     ตัวอย่าง วลี (Phrase) ที่เป็นคำอุทาน

                        เช่น              Ah! I’m disappointed.                 Bravo! Well done.                  Ha! I’m surprised

                                            Hurrah! I’m exited.                      Hush! Keep quite                   Oh! What a surprise!

Aa

                         ให้นักเรียนเขียนตัวอักษรพิมพ์เล็กตามอักษรพิมพ์ใหญ่ที่กำหนดให้

ตัวอย่าง A – a

1. B ……

2. C ……

3. D ……

4. E ……

5. F ……

6. G ……

7. H ……

8. I ……

9. J ……

10. K ……

11. L ……

12. M ……

13. N ……

14. 0 ……

15. P ……

16. Q ……

17. R ……

18. S ……

 19. T ……

20. U ……

21. V ……

22. W ……

23. X ……

24. Y ……

25. Z ……

รวบรวมวันสำคัญทางภาษาอังกฤษ

1. ประวัติวันคริสต์มาส
คริสต์มาสคืออะไร
ความสำคัญของวันคริสต์มาส
คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่ง ในศาสนาคริสต์ มิใช่เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกาย จัดงานรื่นเริงภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอก ของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรักของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า “เยซู” การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากการเป็นทาสของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง ดังนั้น ความสำคัญของวันคริสต์มาส จึงอยู่ที่การฉลองความรัก ที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างเป็นจริงเป็นจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
บรรยากาศคริสต์มาสในเมืองไทย มักจะเริ่มด้วยห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ จะตกแต่งห้างด้วยสีสันต่างๆ รวมทั้งต้นคริสต์มาส อันเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส กันอย่างหรูหรา สิ่งเหล่านี้ เป็นบรรยากาศที่ ชักจูงให้เราคิดถึง วันสำคัญของชาวโลกวันหนึ่ง ก็คือ “วันคริสต์มาส” ซึ่งกำลังใกล้เข้ามาทุกนาทีนั่นเอง
วันคริสต์มาส คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซู ผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันฉลองที่มีความสำคัญ และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซู มิใช่เป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรดาๆ ที่มาเกิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีพระธรรมชาติเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์ จึงเป็นเหตุการณ์พิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย ….
ประวัติการประสูติพระเยซูเจ้า
ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัส รับสั่งให้ราษฎรทุกคนในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโนประชากร โยเซฟและมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่ จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ พอดีถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอเอาผ้าพันกายพระกุมารแล้ววางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พักเลย
คืนนั้น ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปรากฎแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาตกใจกลัวมาก แต่ทูตสวรรค์ปลอบพวกเขาว่า “อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็นหลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมาร มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า” ทันใดนั้น มีทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่า
ขอเทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด
สันติสุขบนพิภพ จงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย
ทำไมจึงวันฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม
ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.2:1-3) บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าบังเกิดในสมัยที่ จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัส เป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกว่า เป็นวันหรือเดือนอะไร แต่นักประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า ทื่คริสตชนเลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รู้สึกอึดอัดใจ ที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ตามประเพณีของชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชน ไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย
The History of Christmas
In the Western world, the birthday of Jesus Christ has been celebrated on December 25th since AD 354, replacing an earlier date of January 6th. The Christians had by then appropriated many pagan festivals and traditions of the season, that were practiced in many parts of the Middle East and Europe, as a means of stamping them out.
There were mid-winter festivals in ancient Babylon and Egypt, and Germanic fertility festivals also took place at this time. The birth of the ancient sun-god Attis in Phrygia was celebrated on December 25th, as was the birth of the Persian sun-god, Mithras. The Romans celebrated Saturnalia, a festival dedicated to Saturn, the god of peace and plenty, that ran from the 17th to 24th of December. Public gathering places were decorated with flowers, gifts and candles were exchanged and the population, slaves and masters alike, celebrated the occasion with great enthusiasm.
In Scandinavia, a period of festivities known as Yule contributed another impetus to celebration, as opposed to spirituality. As Winter ended the growing season, the opportunity of enjoying the Summer’s bounty encouraged much feasting and merriment.
The Celtic culture of the British Isles revered all green plants, but particularly mistletoe and holly. These were important symbols of fertility and were used for decorating their homes and altars.
New Christmas customs appeared in the Middle Ages. The most prominent contribution was the carol, which by the 14th century had become associated with the religious observance of the birth of Christ.
In Italy, a tradition developed for re-enacting the birth of Christ and the construction of scenes of the nativity. This is said to have been introduced by Saint Francis as part of his efforts to bring spiritual knowledge to the laity.
Saints Days have also contributed to our Christmas celebrations. A prominent figure in today’s Christmas is Saint Nicholas who for centuries has been honored on December 6th. He was one of the forerunners of Santa Claus.
Another popular ritual was the burning of the Yule Log, which is strongly embedded in the pagan worship of vegetation and fire, as well as being associated with magical and spiritual powers.
Celebrating Christmas has been controversial since its inception. Since numerous festivities found their roots in pagan practices, they were greatly frowned upon by conservatives within the Church. The feasting, gift-giving and frequent excesses presented a drastic contrast with the simplicity of the Nativity, and many people throughout the centuries and into the present, condemn such practices as being contrary to the true spirit of Christmas.
The earliest English reference to December 25th as Christmas Day did not come until 1043.
2. ประวัติวันวาเลนไทน์
original of valentine day
Valentines Day started in the time of The Roman Emire. In ancient Rome,Feburary 14th was a holiday to honor Juno. Juno was the Queen of the Roman Gods and Goddesses.
The Romans also knew her as the goddess of women and marriage. The following day, February 15 th, began the Feast of Lupercalia.
The lives lf young boy and girls were strictly separate.However, one of the customs
of the young people was name drawing.on the eve of the festival of Lupercalia the name of Roman girls were written on slips of paper and placed into jars. Each young man would draw a girl’s name from the Jar and would then be partners for the duration of the festival with the girl whom he chose. Sometimes the pairing of the children lasted an entire year, and ofren,they would fall in love and would later marry.
Under the rule of Emperor Claudius 2 Rome was involved in many bloody and unpoppular campaigns.Claudius the Cruel was having a difficult time getting soldiers to join his military leagues.He believed that the reason was that roman men did not want to leave their loves or families.As a result ,valentine was a priest at Rome in the days of Claudius 2. He and Saint Marius aided the Chistian martyrs and secretly married couples , and for this kind deed.
Saint Valentine was apprehended and dragged before the Prefect of Rome, who condemned him to be beaten to death with clubs and to have his head cut off.He suffered martyrdom on the 14th day of Febuary,about the year 270.At that time it was the custom in Rome ,a very ancient custom,indeed, to celebrate in the month of February the Lupercalia, feasts in honor of a heaten god. On these occasions,anidst a variety of pagan ceremonles,the name of young women were placed in a box,from which they were drawn by the men as chance deirected.
we wish you good luck!!!
by admin watnai.org
วันวาเลน์ไทน์เริ่มมีขึ้นในช่วงสมัยอาณาจักรโรมัน ในสมัยก่อน วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์เป็นวันหยุดของ Juno ซึ่งเป็นราชินิของเหล่าเทพเจ้าและเทพธิดาทั้งหลาย ชาวโรมันต่างรู้จักเธอในนาม”เทพธิดาแห่งการแต่งงาน”และในวันถัดมาซึ่งเป็น วันที่ ๑๕ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นพิธีฉลองของเทศกาล Lupercalia ในสมัยนั้น ชีวิตของชายหนุ่มและหญิงสาว จะต้องอยู่แบบแยกกันอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงหนึ่งในประเพณีของหนุ่มสาวเหล่านั้นซึ่ง ก็คือการเขียนชื่อที่อยู่ ในคืนก่อนเทศกาล Lupercalia ชื่อของหญิงสาวชาวโรมันแต่ละคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็กๆ และนำไปใส่แจกัน ต่อมาชายหนุ่มแต่ละคนก็จะจับชื่อหญิงสาวจากแจกันนั้น และทั้งสองจะได้สนทนากัน ซึ่งบางครั้งพวกเขาก็จะคบกันตลอดไป ซึ่งก็มีบ่อยครั้งครั้งที่พวกเขาจะตกหลุมรักกัน และแต่งงานกันในเวลาต่อมา ภายใต้กฏของจักพรรดิ Claudius ที่ ๒ แห่งอาณาจักรโรมันมักจะพาดพิง ไปถึงการนองเลือดและการต่อสู้ ซึ่งไม่เป็นที่น่าปรารถนาของชาวเมือง ก็เพราะเนื่องจากความโหดร้ายที่จักรพรรดิชอบทำสงคราม และมีการเรียกเกณฑ์ทหารให้เข้ามาร่วมรบในกองทัพของตน เขารู้ดีว่าผู้ชายชาวโรมันเกือบทุกคน ไม่ต้องการที่จะจากคนรัก และครอบครัวของตนไป จึงทำให้จักรรพรรดิ Claudius สั่งยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดในอาณาจักรโรมัน นักบุญ Valentine ซึ่งเป็นนักบวชในโรมัน ในยุคนของ Claudius ที่ ๒ และนักบุญ Marius ได้พยายามช่วยเหลือชาวคริตส์เตียนที่ได้รับความทุกข์และพยายามจัดงานแต่งงาน ให้พวกเขาอย่างลับๆและ การกระทำที่เกิดจากความกรุณาของนักบุญทั้งสองนี้เอง เขาจึงถูกจับและถูกนำตัวไปเข้าเฝ้ากับจักรพรรดิแห่งโรม ซึ่งเป็นผู้พิพากษาสั่งให้ทหารลงโทษเขา โดยการตีด้วยกระบอง และตัดศรีษะนักบุญ Valentine ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๒๗๐
3. ประวัติวันฮาโลวีน
 
Trick or treat!” คำฮิตติดหูประจำเทศกาลฮาโลวีน (วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี) หลายคนรู้ว่า สัญลักษณ์ประจำฮาโลวีนต้องมีปาร์ตี้แต่งกายชุดภูตผีปีศาจ และต้องมีฟักทองเจาะหน้าตาแปลกๆ … แต่แล้วทราบหรือไม่ว่า ฮาโลวีนมีความสำคัญอย่างไร
รู้จักความหมายของ “ฮาโลวีน”
ใน คริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eves ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำว่า Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำว่า Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่าๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ)
คำว่า Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ ดังนั้น All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง
วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Christmas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส ชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไป หลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day)
 ความเป็นมาของวันฮาโลวีน
วันฮาโลวีนของทุกปี จะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม เชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์ (Celt) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตาย ทั้งนี้ ในวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันขึ้นปีใหม่
ซึ่ง ในวันที่ 31 ตุลาคมนี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย และยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดัง เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป
นอกจากนี้คืนดังกล่าวยังเป็นคืนเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว และอาจมีการนำสัตว์ หรือพืชผลมาบูชายัญให้กับเหล่าภูติผี และวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับ และจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลท์
บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา “คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง” เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์ แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน
ใน สมัยต่อชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลอง ของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 จึงได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายนให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Day สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญ และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมหรือ Hallow´s Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันแต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween
กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนจึงกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป
 จากอังกฤษสู่อเมริกา
เดิมเทศกาลฮาโลวีนจัดขึ้นในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และประเทศข้างเคียงเท่านั้น แต่เมื่อชาวไอริช และชาวสกอตอพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1840 ก็นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติด้วย ปรากฏว่าถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติ จึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็กลายเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนทุกวันนี้
 กิจกรรมในวันฮาโลวีน
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน ในประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง เรียกว่า การเล่น Trick or Treat (หลอกหรือเลี้ยง) คือการเดินเคาะประตูขอขนมตามบ้าน
เคล็ดอีกอย่างหนึ่งของเทศกาลฮาโลวีน นอกจากเคาะประตูขอขนมตามบ้านต่างๆ แล้ว ยังมีการนำ แอปเปิ้ล กับเหรียญชนิดหกเพ็นซ์ใส่ลงในอ่างน้ำ หากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้ ออกจากกันได้ด้วยการใช้ปากคาบเหรียญขึ้นมา และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลให้ติดเพียงครั้งเดียวถือว่าผู้นั้นจะโชคดีตลอดปี ใหม่ที่กำลังมาถึง
ทาง ด้านสาวอังกฤษสมัยก่อนจะออกไปหว่านและไถกลบเมล็ดป่านชนิดหนึ่งในยามเที่ยง คืนของวันฮาโลวีน พร้อมกับเสี่ยงสัตย์อธิษฐานด้วยการท่องคาถาว่า “เจ้าเมล็ดป่านที่ข้าหว่านจงช่วยบันดาลให้ผู้ที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของข้าปรากฎตัวให้เห็น” หลังจากนั้นลองเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายของตนเองดู ก็จะได้เห็นนิมิตเรือนร่างของผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของตน (นี่คือความเชื่อของสาวๆ อังกฤษ)
trick or treat
 การเล่น Trick or Treat
สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่าวันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวัน “All Souls” พวกเขาจะเดินร้องขอ “ขนมสำหรับวิญญาณ” (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกา คือ การละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอยในวันฮาโลวีน ตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทอง และตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียว กัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆ ไว้เตรียมคอยท่า
ส่วน เด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซี เป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า “Trick or treat?” เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี (เด็ก) เหล่านั้น ราวกับว่า ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด
ในสมัยโบราณมีการกล่าวขานกันว่าเด็กๆ ไม่ได้ขนม จะแกล้งเจ้าของบ้าน เช่น ใส่ไข่ดิบในตู้จดหมายในคืนเทศกาลฮาโลวีนคนส่วนใหญ่จึงมีขนมและลูกกวาดเตรียมไว้เพื่อจะไม่ต้องโดนผี (เด็กๆ) แกล้ง
และที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลฮาโลวีนเลย คือ การประดับประดาแสงไฟ และการแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เจาะทำตาจมูก และปากที่แสยะยิ้ม เรียกว่า แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (jack-o’-lantern)
 ตำนานแกะสลักฟักทอง แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (jack-o’-lantern)
ตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ “ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก” แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก เพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจไว้ ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดมิด และหนาวเย็น และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น
ชาว ไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง “การหยุดยั้งความชั่ว” Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่าฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน
 เครื่องดื่มวันฮาโลวีน
โดยธรรมเนียมแล้ว วันฮาโลวีน เป็นวันถือศีล และไม่ดื่มสุราหรืออาหารฟุ่มเฟือย อาจมีโซลเค้ก (Soul Cake) ซึ่งเป็นขนมตามธรรมเนียมดั้งเดิมของงานวันฮาโลวีน หรือ อาหาร ที่ไม่ใช่เนื้อ และเมื่อได้รับโซลเค้กให้สวดภาวนาแด่ผู้ล่วงลับเป็นการตอบแทน (อย่างไรก็ดี นี่เป็นละครในงานวัน “ฮาโลวีน” ไม่ใช่พิธีกรรม ดังนั้นการจัดงานเลี้ยงในบ้านเราคงจะต้องมีขนม, น้ำ และอาหารเป็นธรรมดา)
ฮาโลวีนนี้เที่ยวไหนดี
อย่าง ไรก็ตาม คนไทยปัจจุบันรู้จักเทศกาลฮาโลวีนเหมือนกับที่รู้จักเทศกาลต่างๆ ตามประเพณีของชาวยุโรป เช่น อีสเตอร์ วันขอบคุณพระเจ้า วันคริตสต์มาส หรือวันวาเลนไทน์ ซึ่งในคืนวันฮาโลวีนในกรุงเทพฯ มักจะจัดงาน โดยเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวยามราตรีแต่งกายด้วยชุดแฟนซี สวมหน้ากากเป็นปีศาจรูปร่างต่างๆ เพื่อเป็นสีสันยามค่ำคืนฮาโลวีน

ความรู้เรื่อง อาเซียน ASEAN

ASEAN (อาเซียน) ย่อมาจาก Association of Southeast Asian Nations หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ประกอบด้วย 10 ประเทศ คือ
           1. กัมพูชา (ราชอาณาจักรกัมพูชา)
             2. ไทย (ราชอาณาจักรไทย)
           3. บรูไนดารุสซาลาม (เนการาบรูไนดารุสซาลาม)
           4. พม่า (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์)
           5. ฟิลิปปินส์ (สาธารณรัฐฟิลิปปินส์)
           6. มาเลเซีย
           7. ลาว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
           8. สิงคโปร์ (สาธารณรัฐสิงคโปร์)
           9. เวียดนาม (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม)
           10. อินโดนีเซีย (สาธารณรัฐอินโดนีเซีย)
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของอาเซียน 
        1) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
        2) เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
        3) เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
        4) เพื่อเสริมสร้างให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
        5) เพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปแบบของการฝึกอบรมและการวิจัยและส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
        6) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
        7) เพื่อส่งเสริมความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ และองค์การระหว่างประเทศ
อาเซียน +3 และ อาเซียน +6 คืออะไร ?
อาเซียน +3 คือ กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และ 3 ประเทศนอกอาเซียน ได้แก่
           1) จีน
           2) ญี่ปุ่น
           3) เกาหลีใต้
อาเซียน +6 คือ กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และ 6 ประเทศนอกอาเซียน ได้แก่
           1) จีน
           2) ญี่ปุ่น
           3) เกาหลีใต้
           4) ออสเตรเลีย
           5) นิวซีแลนด์
           6) อินเดีย
7 วิชาชีพที่สามารถย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีในประชาคมอาเซียน
            1. แพทย์
            2. ทันตแพทย์
            3. นักบัญชี
            4. วิศวกร
            5. พยาบาล
            6. สถาปนิก
            7. นักสำรวจ
เพลงประจำอาเซียน 
“The ASEAN Way”
เป็นผลงานจากประเทศไทยที่ชนะเลิศจากการแข่งขันระดับภูมิภาคอาเซียน ประพันธ์โดยนายกิตติคุณ สดประเสริฐ (ทำนองและเรียบเรียง) ได้เริ่มใช้บรรเลงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เนื้อร้อง
Raise our flag high, sky high
Embrace the pride in our heart
ASEAN we are bonded as one
Look-in out-ward to the world.
For peace, our goal from the very start
And prosperity to last.
WE dare to dream we care to share.
Together for ASEAN
We dare to dream,
We care to share for it’s the way of ASEAN.
 เนื้อร้อง ภาษาไทย
พลิ้วลู่ลม โบกสะบัด ใต้หมู่ธงปลิวไสว
สัญญาณแห่ง สัญญาทางใจ
วันที่เรามาพบกัน
อาเซียน เป็นหนึ่ง ดังที่เราปรารถนา
เราพร้อมเดินหน้าไปตรงนั้น
หล่อหลวมจิตใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว
อาเซียนยึดเหนี่ยวสัมพันธ์
ให้สังคมนี้ มีแต่แบ่งปัน
เศรษฐกิจ มั่นคง ก้าวไกล
อาหารยอดนิยมของประเทศบรูไนดารุสซาลาม  
       มีลักษณะเด่นคือ เหนียวข้นคล้ายข้าวต้มหรือโจ๊ก ไม่มีรสชาติ มีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก วิธีทานจะใช้แท่งไม้ไผ่ 2 ขาซึ่งเรียกว่า chandas ม้วนแป้งรอบๆ แล้วจุ่มในซอสผลไม้เปรี้ยวที่เรียกว่า cacah หรือซอสที่เรียกว่า cencalu ซึ่งทำจากกะปิ ทานคู่กับเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น เนื้อห่อใบตองย่าง เนื้อทอด เป็นต้น การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องทานร้อนๆ และกลืน โดยไม่ต้องเคี้ยว
อาหารยอดนิยมของประเทศกัมพูชา  
        มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย นิยมใช้เนื้อปลาปรุงด้วยน้ำพริก เครื่องแกงและกะทิ ทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง อาจใช้เนื้อไก่หรือหอยแทนได้ แต่ที่นิยมใช้เนื้อปลาเพราะหาได้ง่าย
อาหารยอดนิยมของอินโดนีเซีย  
     อาหารสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ ประกอบไปด้วยผักและธัญพืช เช่น มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว เสริมโปรตีนด้วยเต้าหู้และไข่ต้ม รับประทานคู่กับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ ซึ่งใกล้เคียงกับสลัดแขก ของประเทศไทย
อาหารยอดนิยมของลาว  
       แกงรสชาติหวานอร่อยกลมกล่อม ที่มีส่วนผสมสำคัญ ได้แก่ ตะไคร้ ใบสะระแหน่ กระเทียม หอมแดง รวมถึงรสชาติเปรี้ยว เผ็ด จากมะนาวและพริก รับประทานร้อนๆ กับข้าวเหนียว ได้คุณค่าทางโภชนาการอาหารและความอร่อยไปพร้อมๆ กัน
มรดกโลกในอาเซียน
        อ่าวฮาลอง (Vịnh Hạ Long) หรือ ฮาลอง เบย์ (Halong Bay) เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ชื่อในภาษาเวียดนาม หมายถึง “อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง”
      อ่าวฮาลองมีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะ โผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกัดบา และเกาะ Tuan Chau ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร มีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว บางเกาะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง และบางเกาะยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง และกิ้งก่าหลายชนิด เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่างลักษณะที่แปลกตา เช่น เกาะช้าง (Voi Islet) เกาะไก่ชน (Ga Choi Islet) เกาะหลังคา (Mai Nha Islet) เป็นต้น
      อ่าวฮาลองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537
ข้อมูลประเทศในอาเซียนที่ควรรู้ 
เนการาบรูไนดารุสซาลาม (NEGARA BRUNEI DARUSSALAM)
พื้นที่:  5,765 ตารางกิโลเมตร  ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว
เมืองหลวง :  บันดาร์ เสรี เบกาวัน
ประชากร:  395,027 คน
ภาษาราชการ :  มาเลย์ (Malay หรือ Bahasa Melayu)
ศาสนา:  อิสลาม (67%) พุทธ (13%) คริสต์ (10%) และฮินดู (10%)
ระบอบการปกครอง :  สมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นองค์ประมุขผู้นำรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
วันชาติ  23 กุมภาพันธ์
หน่วยเงินตรา บรูไนดอลลาร์ ( 1 บรูไนดอลลาร์ ประมาณ 24.07 บาท)
ดอกไม้ประจำชาติ  :  ดอก Simpor (Dillenia Suffruticosa) เป็นดอกไม้ที่มีกลีบดอกขนาดใหญ่สีเหลือง เมื่อบานเต็มที่กลีบดอกจะบานคล้ายกับร่ม
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

  •      สินค้านำเข้าสินค้า : เครื่องจักรอุตสาหกรรม รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตร อาที ข้าวและผลไม้
  •      สินค้าส่งออกสำคัญ : น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ
  •      ตลาดส่งออกที่สำคัญ : ญี่ปุ่น อาเซียน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย
  •      ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : อาเซียน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น
ราชอาณาจักรกัมพูชา (KINGDOM OF CAMBODIA)

พื้นที่ : 181,035 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง : กรุงพนมเปญ
ประชากร : 14.45 ล้านคน
ภาษาราชการ : ภาษาเขมร
ศาสนา : พุทธเถรวาท (มหานิกาย 90% และธรรมยุตินิกาย 10%)
ระบอบการปกครอง : ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
ประมุข : พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี
วันชาติ : 9 พฤศจิกายน
หน่วยเงินตรา : เรียล  (1 เรียล ประมาณ 0.0083 บาท)
ดอกไม้ประจำชาติ  : ดอก Rumdul หรือดอกลำดวน เป็นดอกสีขาวเหลืองอยู่บนใบเดี่ยว มีกลิ่นหอมช่วงเวลาค่ำ

ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

  •     สินค้านำเข้าสำคัญ : ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดื่ม ผ้าผืน และผลิตภัณฑ์ยาง
  •     สินค้าส่งออกสำคัญ :  เสื้อผ้า สิ่งทอ รองเท้า ปลา ไม้ ยางพารา บุหรี่ และข้าว
  •     ตลาดส่งออกที่สำคัญ:  สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา และเวียดนาม
  •     ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : จีน ฮ่องกง เวียดนาม ไทย และไต้หวัน
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (REPUBLIC OF INDONESIA)
พื้นที่ : 5,070,606 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง: กรุงจาการ์ตา
ประชากร : 245.5 ล้านคน
ภาษาราชการ : บาร์ฮาซา อินโดนีเซีย
ศาสนา : อิสลาม (88%) คริสต์ (8%) ฮินดู (2%) พุทธ (1%) อื่นๆ (1%)
ระบอบการปกครอง : ระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
ประมุข : ดร. ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน
วันชาติ : 17 สิงหาคม
หน่วยเงินตรา: รูเปียห์  (10,000 รูเปียห์ ประมาณ 38 บาท)
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอก Moon Orchid หรือกล้วยไม้ราตรี เป็นกล้วยไม้สายพันธ์ Phalaenopsis Amabilis
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

  •     สินค้านำเข้าสำคัญ: น้ำมัน เหล็ก ท่อเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก สิ่งทอ เคมีภัณฑ์
  •     สินค้าส่งออกที่สำคัญ: ก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุ ถ่านหิน ผลิตภัณฑ์จากไม้
  •     ตลาดนำเข้าที่สำคัญ: สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา
  •     ตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญ : EU ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน สิงคโปร์
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  (THE LAO PEOPLE’S DEMOCRATIC REPUBLIC)
พื้นที่ : 236,880 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง : นครหลวงเวียงจันทร์
ประชากร : ประมาณ 6 ล้านคน
ภาษาราชการ : ภาษาลาว
ศาสนา : พุทธ (75%) อื่นๆ (16-17%)
ระบอบการปกครอง : ระบอบสังคมนิยม
ประมุข: พลโท จูมมาลี ไซยะสอน  ประธานประเทศ สปป. ลาว
วันชาติ : 2 ธันวาคม
หน่วยเงินตรา : กีบ (1 บาท เท่ากับประมาณ 250 กีบ)
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอก Champa หรือดอกลีลาวดี มีกลิ่นหอมและมีหลายสี เช่น สีแดง สีเหลือง สีชมพู และโทนสีอ่อนต่างๆ เป็นตัวแทนของความจริงใจและความสุขในชีวิต
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

  • สินค้านำเข้าสำคัญ : รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอุปโภคบริโภค
  • สินค้าส่งออกที่สำคัญ : ไม้ซุง ไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์ไม้ สินแร่ เศษโลหะ ถ่านหิน เสื้อผ้าสำเร็จรูป
  • ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : ไทย จีน เวียดนาม สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เยอรมนี
  • ตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญ : ไทย เวียดนาม ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
มาเลเซีย ( MALAYSIA)
พื้นที่: 329,758  ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง: กรุงกัวลาลัมเปอร์
ประชากร : 28.9 ล้านคน
ภาษาราชการ : มาเลย์
ศาสนา : อิสลาม (60%)  พุทธ (19%) คริสต์ (12%) อื่นๆ (9%)
ระบอบการปกครอง : สหพันธรัฐ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นประมุข
ประมุข : สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านตวนกู อับดุล ฮาลิม มูอัซซอม ซาห์
วันชาติ : 31 สิงหาคม
หน่วยเงินตรา : ริงกิต (1 ริงกิตประมาณ 10.22 บาท)
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอก Bunga raya หรือดอกพู่ระหง โดยทั้ง 5 กลีบดอกเป็นตัวแทน 5 หลักการแห่งความเป็นชาติของมาเลเซีย ซึ่งเป็นปรัชญาเพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและความอดทนในชาติ
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

  • สินค้านำเข้าสำคัญ : ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม สินค้าแปรรูป สินค้าอาหาร
  • สินค้าส่งออกที่สำคัญ : อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว ปิโตรเลียม เฟอร์นิเจอร์ ยา น้ำมันปาล์ม
  • ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ไทย
  • ตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญ : สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ไทย ฮ่องกง
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์  (REPUBLIC OF THE UNION OF THE MYANMAR)
พื้นที่: 657,740  ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง : นครเนปิดอร์
ประชากร : 57.5 ล้านคน
ภาษาราชการ  พม่า
ศาสนา : พุทธ (90%) คริสต์ (5%) อิสลาม (3.8%) ฮินดู (0.05%)
ระบอบการปกครอง : ระบบประธานาธิบดี
ประมุข : พลเอก เต็ง เส่ง
วันชาติ : 4 มกราคม
หน่วยเงินตรา : จั๊ต (1 USD ประมาณ 1,200 จั๊ต)
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอก Paduak หรือดอกประดู่ ผลิดอกสีเหลืองทอง และส่งกลิ่นหอมหลังฤดูฝนแรกของเดือนเมษายน
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

  • สินค้านำเข้าสำคัญ : ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม สินค้าแปรรูป สินค้าอาหาร
  • สินค้าส่งออกที่สำคัญ : ก๊าซธรรมชาติ สิ่งทอ ไม้ซุง
  • ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : จีน สิงคโปร์ ไทย
  • ตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญ : ไทย อินเดีย จีน
สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (REPUBLIC OF THE PHILIPPINES)
พื้นที่ : 298,170  ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง : กรุงมะนิลา
ประชากร : 98 ล้านคน
ภาษาราชการ : ตากาล๊อก และภาษาอังกฤษ
ศาสนา : โรมันคาทอลิก (83%) โปรเตสแตนท์ (9%) อิสลาม (5%) อื่นๆ (3%)
ระบอบการปกครอง : สาธารณรัฐเดี่ยวระบบประธานาธิบดี
ประมุข : เบนิกโน อากีโน ที่ 3
หน่วยเงินตรา : เปโซ ( 100 เปโซ ประมาณ 49 บาท)
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอก Sampaguita Jasmine มีกลีบดอกรูปดาวสีขาวที่บานตลอดปี แย้มดอกตอนกลางคืน และมีกลิ่นหอม
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

  • อุตสาหกรรมหลัก : เสื้อผ้า ยา เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไม้ และอาหารแปรรูป
  • ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน จีน เกาหลีใต้
  • ตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญ : สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง สิงคโปร์
สาธารณรัฐสิงคโปร์ (REPUBLIC OF SINGAPORE)
พื้นที่: 694.4  ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง : สิงคโปร์
ประชากร : 4.6 ล้านคน
ภาษาราชการ : ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลาง ภาษามาเลย์ ภาษาทมิฬ
ศาสนา : พุทธ (42.5%) อิสลาม (14.9%) คริสต์ (14.6%) ฮินดู (4%) ไม่นับถือศาสนา (24%)
ระบอบการปกครอง : ระบบสาธารณรัฐแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
ประมุข : นายโทนี่ ตัน เค็ง ยัม
นายกรัฐมนตรี : ลี เซียนลุง
หน่วยเงินตรา : ดอลลาร์สิงคโปร์ ( 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ ประมาณ 24.39 บาท)
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอก Vanda Miss Joaquim เป็นดอกกล้วยไม้ซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศสิงคโปร์ โดยตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ มีสีม่วงและรูปลักษณ์ที่สวยงาม
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ 

  • อุตสาหกรรมหลัก : การผลิต การก่อสร้าง การคมนาคมขนส่งและโทรคมนาคม การเงินและการธนาคาร การบริการอื่นๆ
  • สินค้าส่งออกที่สำคัญ : เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้า
  • สินค้านำเข้าที่สำคัญ : เครื่องจักรกล ชิ้นส่วนอุปกรณ์ ไฟฟ้า น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อาหาร
  • ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และไทย
ราชอาณาจักรไทย (KINGDOM OF THAILAND)
พื้นที่ : 513,115.02 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง : กรุงเทพมหานคร
ประชากร : ประมาณ 64 ล้านคน
ภาษาราชการ : ภาษาไทย
ศาสนา : พุทธ (94.6%) อิสลาม (4.6%) คริสต์ (0.7%) อื่นๆ (0.1%)
ระบอบการปกครอง : ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ประมุข : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
หน่วยเงินตรา : บาท
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอก Ratchaphruek หรือราชพฤกษ์ มีช่อดอกสีเหลืองที่สวยงาม ชาวไทยถือว่าสีเหลืองของดอกไม้ชนิดนี้ คือ สีของพระพุทธศาสนา และความรุ่งโรจน์
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ 

  • สินค้าส่งออกที่สำคัญ : เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบแผงวงจรไฟฟ้า ยางพารา เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำมันสำเร็จรูป เหล็ก เหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ ส่วนประกอบเคมีภัณฑ์ และข้าว
  • สินค้านำเข้าที่สำคัญ : น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่นๆ อัญมณี เงินแท่งและทองคำ
  • ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
  • ตลาดส่งออกที่สำคัญ : สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (SOCIALIST REPUBLIC OF VIETNAM)
พื้นที่ : 331,690 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง : กรุงฮานอย
ประชากร : ประมาณ 89.57 ล้านคน
ภาษาราชการ : ภาษาเวียดนาม
ศาสนา : พุทธ (มหายาน)
ระบอบการปกครอง : ระบอบสังคมนิยม
ประธานาธิบดี : เจือง เติ๋น ซาง
หน่วยเงินตรา : ด่อง ( 1,000 ด่อง ประมาณ 1.10 บาท)
วันชาติ : 2 กันยายน
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอก Lotus หรือ ดอกบัว สำหรับชาวเวียดนามแล้ว ดอกบัวคือสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความผูกพัน และการมองโลกในแง่ดี เป็น 1 ใน 4 พันธ์ไม้ที่มีความสง่างามของชาวเวียดนาม ซึ่งประกอบด้วย ต้นสน ต้นไผ่ ต้นเบญจมาศ และดอกบัว
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ 

  • สินค้าส่งออกที่สำคัญ : น้ำมันดิบ เสื้อผ้าและสิ่งทอ อาหารทะเล ยางพารา ข้าว กาแฟ รองเท้า
  • สินค้านำเข้าที่สำคัญ : วัตถุดิบ วัสดุสิ่งทอ เครื่องหนัง เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
  • ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน
  • ตลาดส่งออกที่สำคัญ : ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป
“ภาษาบอกรัก” ในอาเซียน

     เนื่องในวันแห่งความรัก (14 ก.พ.) หรือวันวาเลนไทน์ เกร็ดความรู้อาเซียน ขอเสนอ “ภาษาบอกรัก” ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน และยังสามารถใช้บอกกับทุกคนที่คุณรักได้อีกด้วย  
♥ ภาษาไทย                 – ฉันรักเธอ 
♥ ภาษาลาว                 – ข้อยฮักเจ้า
♥ ภาษาพม่า                – จิต พา เด (chit pa de)
♥ ภาษาเวียดนาม          – ตอย ยิ่ว เอ๋ม (Toi yue em)
♥ ภาษาเขมร               – บอง สรัน โอง (Bon sro Ianh oon)
 ภาษามาเลย์              – ซายา จินตามู (Saya cintamu)
 ภาษาอินโดนีเซีย        – ซายา จินตา ปาดามู (Saya cinta padamu)
 ภาษาตากาล็อก          – มาฮัล กะ ตา (Mahal ka ta)
 ภาษาจีนกลาง           – หว่อ อ้าย หนี่ (Wo ai ni)
 ภาษาญี่ปุ่น               – ไอ ชิเตรุ (Ai shiteru)
♥ ภาษาเกาหลี             – ซารัง แฮโย (Sarang Heyo)

คำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์เลี้ยง

คำศัพท์สัตว์เลี้ยง ภาษาอังกฤษ
ที่ คำศัพท์ คำอ่าน คำแปล
1 buffalo บัฟฟะโล ควาย
2 cat แค็ท แมว
3 chicken ชิ๊คเคิน ไก่
4 cow คาว วัว
5 dog ดอก สุนัข
6 duck ดั๊ค เป็ด
7 elephant เอ็ลละเฟินท ช้าง
8 goat โก๊ท แพะ
9 goldfish โกลดฟิช ปลาทอง
10 hamster แฮ๊มสเตอ หนูแฮมสเตอร์
11 horse ฮอส ม้า
12 mouse เมาส หนู
13 pig พิก หมู
14 rabbit แร๊บบิท กระต่าย
15 sheep ชีพ แกะ

คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย 350 คำ

คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย 350 คำ
a          อะ         หนึ่งabout  อะเบ๊า     ประมาณ, เกี่ยวกับabove  อะบั๊ฝ     บนact        แอ๊ค      แสดงadd       แอด      บวกafter     อ๊าฟเทอะ หลังจากagain   อะเก๊น  อีกครั้งagainst  อะเก๊นสท ต้าน, พิงair        แอ        อากาศall         ออล      ทั้งหมดalso      ออลโซ  ด้วย, เช่นกันalways  อ๊อลเวส เสมอand       แอนด    และanother อะนั๊ธเธอ อีกหนึ่งanswer  แอ๊นเซอะ ตอบ, คำตอบany      เอ๊นนิ     ใดๆ, เลยarea     แอ๊เรีย    พื้นที่as         แอส เท่ากัน, ราวกับask       อาสค     ถามat         แอ๊ท      ที่, เวลาback     แบ๊ค      หลัง, กลับbase     เบส       ฐานbe         บี          เป็น อยู่ คือbecause บิค๊อส  เพราะว่าbefore  บิฟ๊อ      ก่อนbegin   บิกิ๊น       เริ่มbest      เบสท     ดีที่สุด
better เบ็ทเทอะ  ดีกว่าbetween  บิทวีน ระหว่าง
big        บิ๊ก        ใหญ่bird       เบิด       นกblack     แบลค    สีดำbody     บ๊อดิ      ร่างกายbook     บุ๊ค        หนังสือboth      โบธ       ทั้งคู่boy       บอย      เด็กชายbuild     บิลด      สร้างbut        บัท        แต่by         บาย       โดยcall       คอล      เรียก, โทรcan       แคน      สามารถ, กระป๋องcar        คา         รถยนต์care      แค        สนใจcarry    แค๊ริ       ถือ, ลำเลียงcause    คอส      สาเหตุcenter เซ๊นเทอะ            ศูนย์กลางchange เชนจ      เปลี่ยนcity      ซิ๊ททิ     เมืองclass     คลาส     ห้องเรียนclose     โคลส     ปิดcold      โคลด     หนาวcolor     คั๊ลเลอะ  สีcome    คัม        มาcomplete  คัมพลีท  สมบูรณ์country  คั๊นทริ   ประเทศcover   คั๊ฝเฝอะ  ปก, ปกคลุมcross     ครอส     ข้ามcut        คัท        ตัดday       เด         วันdiffer    ดิ๊ฟเฟอะ แตกต่างdirect   ไดเร๊คท  ควบคุมdo         ดู          ทำdog       ดอก      หมาdown    ดาวน     ลงdraw     ดรอ       วาดduring ดิ๊วริง      ช่วงระหว่างeach     อีช        แต่ละearly    เอ๊อลิ     แต่เช้าearth     เอิธ       โลกeat        อีท        กินend       เอนด     จบenough อินั๊ฟ     เพียงพอeven     อี๊ฟวัน    แม้, ซ้ำยังever     เอ๊ฝเฝอะ เคยevery   เอ๊ฝริ      ทุกๆexample อิกซ๊ามพัล ตัวอย่างeye       อาย       ตาface      เฟส       หน้าfamily   แฟ๊มลิ    ครอบครัวfar        ฟา        ไกลfast       ฟาสท    เร็วfather   ฟ๊าเธอะ พ่อfeel       ฟีล        รู้สึกfew       ฟิว        สองสามfind       ไฟด      ค้นพบ, ค้นหาfire       ไฟร       ไฟfirst       เฟิสท     ที่หนึ่ง, แรกfish       ฟิช        ปลาfollow   ฟ๊อลโล  ติดตามfood      ฟูด        อาหารfor        ฟอ        สำหรับform     ฟอม      รูปแบบfriend    เฟรนด   เพื่อนfrom     ฟรอม    จากget        เก็ท       ได้รับ, ไปถึงgirl        เกิล       เด็กหญิงgive      กีฝ        ให้go         โก         ไปgood     กูด        ดีgovern  กั๊ฝฝัน   ปกครองgreat     เกรท     ยอดเยี่ยมground กราวด    พื้นgroup    กรูพ      กลุ่มgrow     โกร       โตhalf       ฮาฟ      ครึ่งhand     แฮนด    มือhappen แฮ๊พพัน เกิดขึ้นhappy  แฮ๊พพิ    มีความสุขhard      ฮาด       ยากhave     แฮฝ      มีhe         ฮี          เขาhead     เฮด       หัวhear      เฮีย       ได้ยินhelp      เฮ็ลพ     ช่วยher       เฮอ       หล่อนhere      เฮีย       ที่นี่high      ไฮ        สูงhim       ฮิม        เขาhis        ฮิส        ของเขาhold      โฮลด     ถือhome    โฮม       บ้านhorse    ฮอส      ม้าhot        ฮ็อท      ร้อนhour      เอาเวอะ  ชั่วโมงhouse    เฮาส์      บ้านhow      ฮาว       อย่างไรI           ไอ        ฉันidea      ไอเดี๊ย   ความคิดif          อิฟ        ถ้าin          อิน        ในit          อิท        มันjust       จัสท      เพิ่งจะ, เพียงแค่keep     คีพ        เลี้ยงkind      ไคด      ใจดี, ชนิดking      คิง         ราชาknow    โน         รู้land      แลนด    ดินแดนlarge     ลาจ       กว้างใหญ่last       ลาสท    สุดท้ายlate       เลท       สายlay        เล         วางlearn     เลิน       เรียนรู้leave    ลีฝ        ออกไปleft        เล็ฟท     ซ้ายless       เล็ส       น้อยกว่าlet         เล็ท       ให้letter    เล็ทเทอะ จดหมายlife        ไลฟ      ชีวิตlight      ไลท์      ไฟ, เบาlike       ไลค      ชอบline       ไลน      เส้นlist        ลิสท      รายชื่อlisten    ลิ๊สซัน    ฟังlittle     ลิ๊ททัล    เล็กlive       ลิฝ        อาศัยอยู่long      ลอง       ยาว, นานlook      ลุค        มองlove      ลัฝ        รัก, ความรักlow       โล         ต่ำmain     เมน       สำคัญmake    เมค       ทำman      แมน      ผู้ชายmany   เม๊นนิ     มากmap      แม็พ      แผนที่mark     มาค       เครื่องหมายmay      เม         อาจจะme        มี          ฉันmean    มีน        หมายถึงmeasure เม๊เชอะ   วัดmight    ไมท      อาจจะmile      ไมล      ไมล์money มั๊นนิ      เงินmore     มอ        มาก, มากกว่าmorning ม๊อนิง   ตอนเช้าmost     โมสท    ส่วนมากmother มัธเธอะ  แม่mountain  เม๊าทัน  ภูเขาmove    มูฝ        เคลื่อน, ย้ายmuch    มัช        มากmusic   มิ๊วสิค     ดนตรีmust     มัสท      ต้องmy        มาย       ของฉันname    เนม       ชื่อnear      เนีย       ใกล้need     นีด        ต้องการnever   เน๊ฝเฝอะ  ไม่เคยnew      นิว         ใหม่next      เน็กซ     ถัดไปnight     ไนท      กลางคืนno         โน         ไม่not        น็อท      ไม่notice   โน๊ทิส    สังเกตnow      นาว       ตอนนี้number  นั๊มเบอร์  หมายเลขof         ออฟ      ของ, ด้วยoff        ออฟ      จาก, ไกลoften     อ๊อฟัน    บ่อยๆold        โอลด     เก่า, แก่on         ออน      บนonce     วันซ      หนึ่งครั้งonly      โอ๊นลิ     เท่านั้นopen     โอ๊พัน    เปิดor         ออ        หรือorder    อ๊อเดอะ  สั่งother    อั๊ธเธอะ  อื่นour       เอ๊าเวอะ  ของพวกเราout        เอ้า        นอกover     โอ๊เฝอะ  บนown      โอน       เป็นเจ้าของpage     เพจ       หน้าpaper   เพ๊เพอะ  กระดาษpart      พาท      ส่วนpass      พาส      ผ่านpattern  แพ๊ททัน   รูบแบบpeople  พี๊พัล      คนperson เพ๊อซัน   บุคคลpicture พิ๊คเชอะ ภาพpiece     พีซ        ชิ้นplace     เพลส     สถานที่plant     แพลนท  พืชplay      เพล       เล่นpoint     พอยท    ชี้, จุด, คะแนนport      พอท      ท่าเรือpress    เพรส     กดproblem พร๊อบลัม  ปัญหาproduct พร๊อดัค  ผลผลิตpull       พุล        ดึงput        พุท        วางquestion คเว๊สชัน คำถามrain       เรน        ฝนตกreach    รีช         มาถึงread      รีด         อ่านready   เร๊ดดิ      พร้อมreal       รีล         จริงred       เรด        สีแดงremember  รีเม๊มเบอะ จำได้right      ไรท       ขวา, ถูกต้องriver     ริ๊เวอะ     แม่น้ำroad      โรด       ถนนrock      ร๊อค       หินroom     รูม         ห้องround    เราด      กลมrule       รูล         กฎrun       รัน         วิ่งsame    เซม       เหมือนกันsay       เซ         พูดschool   สกูล      โรงเรียนsea       ซี          ทะเลsecond เซ๊คัน     ที่สองsee       ซี          เห็นseem    ซีม        ดูเหมือนself       เซลฟ     เองsentence เซ๊นเทนส  ประโยคserve    เซิฟ       บริการset        เซ็ท       จัดseveral  เซ็ฝรัล มากมายshe       ชี          หล่อนship      ชิพ        เรือใหญ่short     ชอร์ท    สั้นshould   ชูด        ควรจะshow     โช         แสดงside      ไซด      ด้านsimple ซิ๊มพัล    ง่ายsing      ซิง        ร้องเพลงsize       ไซซ      ขนาดslow      สโล       ช้าsmall     สมอล    เล็กso         โซ        ดังนั้นsome    ซัม        บาง(คน, อัน, ตัว)song     ซอง      เพลงsoon     ซูน        เร็วๆนี้sound    เซาด     เสียงspell      สเป็ล     สะกดstand    สแตนด  ยืนstart      สตารท   เริ่มต้นstate     สเตท     รัฐstep      สเต็ป     ก้าว, ขั้นตอนstill       สติล      ยังคง, นิ่งstory    สต๊อริ     เรื่องราวstudy   สตั๊ดดิ    เรียนsuch      ซัช        เช่นนั้นsun       ซัน        พระอาทิตย์sure      ชัว         มั่นใจtable    เท๊บัล     โต๊ะtake      เทค       เอาtalk       ทอค      สนทนาtell        เท็ล       บอกthan      แดน      กว่าthat       แด็ท      นั่น, ว่าthe        เดอะ      -their      แด        ของพวกเขาthem     เด็ม       พวกเขาthen      เด็น       ต่อมาthere     แด        ที่นั่นthese    ดีส        เหล่านี้they      เด         พวกเขาthing     ธิง         สิ่งของthink     ธิงค       คิดthis       ดิส        นี่those    โดส       เหล่าโน้นthough  โด        แม้ว่าthought             ธอท      ความคิดthrough  ธรู        ผ่านtime      ไทม      เวลาto         ทู          สู่, ที่จะtogether  ทุเก๊เธอะ          ด้วยกันtoo        ทู          เช่นกันtop        ท๊อพ      บน, ยอดtoward  ทุวัดส    ไปยังtravel   แทรวัล   เดินทางtree      ทรี        ต้นไม้true      ทรู        จริงtry        ทราย     พยายามturn      เทิน       หมุน, เลี้ยวunder   อั๊นเดอ   ล่างunderstand  อั๊นเดอสแตน เข้าใจuntil     อันทิ๊ล   กระทั่งup         อัพ        บนus         อัส        พวกเราuse       ยูส        ใช้very     เว๊ริ        มากwalk     วอค       เดินwant     ว๊อนท    ต้องการwar       วอ         สังครามwatch    ว็อทช    มอง, ดูwater   ว๊อเทอะ  น้ำway      เว          ทาง, วิธีwe        วี           พวกเราwell      เว็ล        ดีwhat     ว็อท      อะไร, สิ่งที่when    เว็น        เมื่อไหร่, เมื่อwhere   แว         ที่ไหน, ที่which    วิช         อันไหน, ซึ่งwhile     ไวล       ขณะwhite    ไวท       ขาวwho      ฮู          ใคร, ผู้ที่whole    โฮล       ทั้งหมดwhy      วาย       ทำไม, สาเหตwill       วิล         จะwind     วินด       ลมwith      วิธ         กับ, ที่มี, ด้วยwithout วิธเธ๊า   ไม่มีwood    วูด         ไม้word     เวิด        คำwork     เวิค        ทำงาน, งานworld    เวิลด      โลกwrite     ไรท       เขียนyear      เยีย       ปีyou       ยู          คุณ

young   ยัง         วัยรุ่น

Helping Verbs

Much – Many( กริยาช่วยหรือกริยาอนุเคราะห์ ) คือ กริยาที่ทำหน้าท่ช่วยกริยาตัวอื่นในประโยค หรืออาจใช้เป็นกริยาแท้ก็ได้ เพื่อเป็นการเสริมความหมายให้ประโยคมีความสมบูรณ์ทั้งในการพูดและการเขียน

กริยาที่ควรรู้จักมีดังนี้

1. Verb to be ( is, am, are )

is ใช้กับประธานเอกพจน์ เช่น

He is a dentist .

am ใช้กับประธาน I เท่านั้น เช่น

I am a policeman .

are ใช้กับประธานพหูพจน์ เช่น

We are happy .

2. Verb to do ( do, does )

do ใช้กับประธานพหูพจน์ ได้แก่ I, You, We, They

does ใช้กับประธานเอกพจน์ ได้แก่ He, She, It

ในรูปประโยคคำถาม เช่น

Do you want to drink some milk ?

Does she know how to make some cake ?

2. Verb to have ( have, has )

have ใช้กับประธานพหูพจน์ ได้แก่ You, We, They และรวมทั้ง I ด้วย เช่น

I have three children .

has ใช้กับประธานเอกพจน์ ได้แก่ He, she, It เช่น

She has a long hair .

4. Will, Shall

will ใช้กับประธานทุกตัว ยกเว้น I, We เช่น

They will play golf tomorrow .

Shall ใช้กับประธาน I และ We เช่น

We shall drive to the beach next week .

ความรู้เรื่อง Tense ทั้ง 12

Tense
Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ
               1.     Present   tense        ปัจจุบัน
               2.     Past   tense              อดีตกาล
               3.     Future   tense          อนาคตกาล
ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ
              1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
              2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
              3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
              4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).
โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้
Present  Tense
                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]       [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]        [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด –  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).  
                
หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้
              [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.  เขาเดิน,
1.    ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3.    ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจ, รู้  เป็นต้น.
4.    ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.
6.    ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.
7.    ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.
8.    ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.
 [1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking. เขากำลังเดิน.
1.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ   กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.
            [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense
4.    ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุด)  เป็นต้น.
   [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.
*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
     [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดิน แล้ว.
1.   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็นต้น.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1]  ด้วย.
  [2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking . เขากำลังเดินแล้ว
1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง – ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   –  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2.     ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.
3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.
  [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับ เหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.
2.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.
        [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.
           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้ ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1  ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1  ชั่วโมง.
  [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.
              ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.
           * Shall   ใช้กับ     I    we.
             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.
             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา,ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.
       [3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะ เดิน.
1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.
               –   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.
                –  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .
      [3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.
1.  ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็น ต้น.
2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
              –      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.
–         เกิด ที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .
      [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
          ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
           *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.

ชนิดของคำในภาษาอังกฤษ ทั้ง 8

Words
ชนิดของคำในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดด้วยกัน คือ
1. Nouns (คำนาม)
เช่น God, man, John, American, friend, star, stone, air, mile, beauty ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ แนวคิด นามธรรม และความเชื่อ
2. Pronouns (คำสรรพนาม)
เช่น I, you, he, she, my, your, his, that, who, what, which, one, some ใช้เรียกแทนคำนาม จะได้ไม่ต้องเอ่ยนามนั้นซ้ำอีก

ตัวอย่าง:

  John works at the hospital.   He is a doctor.
  Kate is my friend.   I know her well.
  A book is on the desk.   The book which is on the desk is about history.
  The children are playing outside.   Some of them are crying.
3. Adjectives (คำคุณศัพท์)
ใช้ขยาย noun กับ pronoun เพื่อบรรยายให้เห็นลักษณะของ noun กับ pronoun ชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น adjective สำหรับบอกลักษณะ บอกปริมาณ และบอกจำนวน
– Qualifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลักษณะ เช่น beautiful, healthy, kind, poor, fast, dry, black

ตัวอย่าง:

Noun
Adj. + Noun
Adj. + Adj. + Noun
  An apple   A red apple   A crispred apple
  A girl   A tall girl   A beautifultall girl
     – Quantifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกปริมาณ เช่น many, much, few, little

ตัวอย่าง:

Noun
Adj. + Noun
  An apple   Many apples
  money   A little money
     – Numeral Adjectives หรือคำคุณศัพท์ใช้บอกจำนวนนับลำดับที่ เช่น one, two, three, first, second

ตัวอย่าง:

Noun
Adj. + Noun
  A house   Two houses
  Floor   First floor
4. Verbs (คำกริยา)
เช่น go, take, fight, speak, sleep, wait ใช้แสดงกริยาอาการต่างๆ เป็นส่วนสำคัญในภาคแสดงของประโยค นอกจากนี้ คำกริยายังแบ่งได้เป็น กริยาแท้ และกริยาไม่แท้
– Finite Verbs กริยาแท้หรือคำกริยาที่สามารถผันตามประธานและรูปกาลได้
– Non-finite Verbs (Verbals) กริยาไม่แท้ ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้

ตัวอย่าง: verb “be” มีกริยาในรูปต่างๆ ดังนี้

  Finite Form   Am, is, are, was, were
  Non-finite Form   Infinitive = to be
Present Participle = being
Past Participle = been
Gerund = being
5. Adverbs (คำวิเศษณ์)
เช่น well, fast, long, gently, recently, again, yesterday, soon, rather, perhaps, not
ใช้ขยาย verb, adverb, adjective, preposition, conjunction, phrase, sentence เพื่อเพิ่มความหมายให้กับสิ่งที่ถูกขยาย

ตัวอย่าง:

  ขยาย  verb   He walks.   He walks fast.
  ขยาย  adverb   The dog grows quickly.   The dog grows very quickly.
  ขยาย  adjective   It is hot today.   It is surprisingly hot today.
  ขยาย  preposition   My cat sits beside me.   My cat sits right beside me.
  ขยาย  conjunction   She will come though it is late.   She will come even though
it is late.
  ขยาย  phrase   The hotel is on the top of
the mountain.
  The hotel is nearly on the top of
the mountain.
  ขยาย  sentence   The bus leaves at 10 p.m.   However, the bus leaves at
10 p.m.
6. Prepositions (คำบุพบท)
เช่น at, in, into, of, for ใช้เชื่อมกริยากับส่วนต่างๆ ของประโยค เพื่อบอกเวลา สถานที่ และทิศทาง ทำให้ประโยคสมบูรณ์

ตัวอย่าง:

  In   He is in the pool.
  On   There is a mark on your shirt.
  At   He always arrives late at school.
  Against   A woman is standing against the door.
  Up to   I sleep up to 8 hours a day.
7. Conjunctions (คำสันธาน)
เช่น and, but, or, nor, that, if, because ใช้เชื่อมคำหรือประโยค มีทั้ง conjunction แบบคล้อยตาม ขัดแย้ง และเป็นเหตุเป็นผล

ตัวอย่าง:

  And   Thais eat with a spoon and fork.
  But   BMW is beautiful but expensive.
  Or   Would you like coffee or tea?
  Neithe…nor   Neither I nor she speaks Spanish.
  Because   Tim passed the exam because he studied hard.
8. Interjections (คำอุทาน)
เช่น oh, alas, hurrah ใช้แสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ

ตัวอย่าง:

  Well   Well! That’s expensive.
  Oh   Oh! That’s great.
ในภาษาอังกฤษคำหนึ่งคำอาจจะเป็นได้มากกว่าหนึ่งชนิด แต่เมื่อใช้ในบริบทหนึ่งๆ แล้ว คำๆ นั้นจะทำหน้าที่ได้แค่เพียงอย่างเดียว เช่น อาจจะเป็น verb หรือ noun หรือ อาจเป็น adverb หรือ preposition ก็ได้ ตัวอย่างเช่น
  Look: Look at that. (Look = verb)
Let me have a look at that. (look = noun)
  Walk: He walked all the way here. (walked = verb)
He is taking a walk. (walk = noun)
  In: Is John in? (in = adverb)
In the house. (In = preposition)
  Up: He climbed up. (up = adverb)
Climb up the wall. (up = preposition)
  After: He looked before and after. (after = adverb)
His dog trotted after him (after = preposition)
After we had left… (After = conjunction)